วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

Blend Storming : "สุดฮิต" หรือ "สิ้นคิด" กับโปรโมชั่น 10 แถม 1


       โปรยเรื่องจั่วหัวพร้อมภาพที่คุ้นตากันแบบนี้คาดว่าคุณผู้อ่านทุกท่านพอจะทราบได้เลาๆ ว่าสิ่งที่ผมจะพูดในบทความนี้นั่นก็คือโปรโมชั่นการตลาดพื้นฐานของร้านกาแฟที่ "ฮิต" มากอันหนึ่งนั่นก็คือโปรโมชั่นซื้อครบ 10 แก้วแถม 1 แก้วนั่นเอง ซึ่งไม่ว่าทั้งคนกิน คนขาย หรือแม้แต่ตัวผมเองล้วนแล้วแต่เคยสัมผัส โปรโมชั่นนี้กันแล้วทั้งนั้น

       ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครที่เป็นคนต้นคิดนำเอาโปรโมชั่นดังกล่าวนี้มาใช้กับร้านกาแฟเป็นเจ้าแรก เพราะเดิมทีโปรโมชั่นประเภท mileage นี้มักนิยมใช้กับร้านล้างรถ ร้านเช่าวิดีโอ หรือร้านที่มีสมาชิกเพื่อสะสมการซื้อยอดซื้อ เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อมันขยายเป็นโปรโมชั่นของร้านกาแฟกลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนทำให้แพร่หลายขยายลุกลามเร็วยิ่งกว่าเชื้อโรคเสียอีกจนทำให้ทุกร้านกาแฟมีโปรโมชั่นนี้แทบทั้งสิ้น เรียกกันได้ว่าร้านไหนที่ไม่ทำโปรโมชั่นนี้ จะถูกเรียกว่า "ล้าสมัย" จนถึงขนาดที่ว่าร้านกาแฟระดับพรีเมี่ยมยักษ์ใหญ่ยังนั่งไม่ติด อดรนทนไม่ได้ ต้องลงมาร่วมวงเลยทีเดียว


       และตามกฏการตลาดที่ง่ายๆคือ เมื่อของสิ่งใดที่ได้รับความนิยมมากก็จะมีคนทำตามกันอย่างแพร่หลายและท้ายที่สุดสิ่งนั้นก็จะเสื่อความนิยมไป ไม่พ้นแม้แต่โปรโมชั่นนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะยังคงมีหลายร้านที่ใช้โปรโมชั่น 10 แถม 1 อยู่ แต่มันก็ไม่ได้รับความนิยมเหมือนสมัยก่อน ยังมีไม่กี่เจ้าที่ยังคงใช้โปรโมชั่นอันนี้เพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่ความคิดผมสำหรับโปรโมชั่นตัวนี้ขอบอกครับว่ามันมีมากจนผม "เอียน" เลยทีเดียว

       ไม่เชื่อลองดูในกระเป๋าสตางค์ดูสิครับว่ามีบัตรประเภทนี้กันกี่ใบ!

      สำหรับผมเองนั้นคร่าวๆ ก็เกือบ 10 ใบแล้วครับไปที่ไหนก็ไ้ด้มาเรื่อย เวลาจะหยิบสะสสมแต้มกันทีต้องใช้เวลาค้นหาอยู่นานว่าเป็นใบไหนยิ่งถ้าเวลารีบเร่งด้วยแล้วจะรู้สึกหงุดหงิดมากๆ ถึงขนาดบอกกับตัวเองว่าครั้งนี้กรูไม่สะสมก็ได้วะ เชื่อว่าคอกาแฟหลายๆ คนคงจะเคยเจอเหตุการณ์เดียวกับผม

       หากเรามองในมุมมองของเจ้าของร้าน โปรโมชั่นนี้ถือได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของร้านยิ่งนักเพราะอย่างน้อยเป็นการเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้น อีกทั้งหากในบัตรสะสมแต้มมีรายละเอียดของร้านเช่น เบอร์โทร ที่ตั้งร้าน ก็จะทำให้เป็นการโปรโมทร้านให้รู้จักอีกทางหนึ่ง แต่ต้องอย่าลืมว่าบางทีหากเราแจกไมุ่ถูกจุด เช่นลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลุกค้าขาจรที่ดูแล้วไม่น่าจะกลับมาร้านเราอีกแล้วเราแจกไปแทนที่จะกระตุ้นยอดขายกลับกลายเป็นการเพิ่มต้นทุนไปเสียนี่ ผมเองก็มีครับบัตรสะสมแต้มที่ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วไม่มีโอกาสไปใช้บริการอีก เพราะร้านอยู่ไกล ตอนนั้นบังเอิยแวะไปพอดี หลังๆนี่เลยคิดว่าถ้าไม่สามารถไปใช้บริการได้อีกหรือเพียงแค่แวะมาเพียงครั้ง 2 ครั้งก็จะปฏิเสธการรับบัตรสะสมแต้ม ให้เค้าไปแจกกลุ่มเป้าหมายแล้วได้ผลดีกว่าครับ!

      ในขณะเดียวกันเมื่อมันมีข้อดีก็มีข้อเสียเช่นกันสำหรับเจ้าของร้านที่ไม่มีเวลาดูแลร้าน ต้องจ้างลุกจ้างมาดูแลและมีระบบจัดการบริหารไม่ดี โปรโมชั่นนี้แทนที่จะเพิ่มกำไรอาจเป็นโปรโมชั่นลดกำไรก็เป็นได้ เพราะเราจะเช็คได้อย่างไรว่าแก้วที่แทงว่าแถมนั้นไม่ใช่แก้วที่ขายไปแล้วเข้ากระเป๋าพนักงานเอง อันนี้เป็นเรื่องของการจัดการบุคลากรแล้วครับ!

       ส่วนในมุมมองของคนกินนี่ถือว่าเป็นกำไรครับ เพราะอย่างน้อยหากกินประจำก็มีโอกาสได้ฟรี 1 แก้วในทุกๆ 10 แก้ว แต่อย่าลืมว่าในกรณีที่คุณไม่ได้นำบัตรสะสมแต้มมาเท่ากับว่าครั้งนั้นฟาวล์ครับ เสียเงินแต่ไม่ได้สะสม บางร้านก็จะให้ใบสะสมแต้มใบใหม่มาให้แต่ไม่สามารถเอาไปรวมกับใบเดิมได้ ดังนั้นเราอาจจะต้องกินมากกว่า 10 แก้วเพื่อให้ได้แถม 1 แก้ว ดังนั้นหากคุณเป็นคนขี้หลงขี้ลืมโปรโมชั่นนี้คงเหมาะกับคุณเป็นแน่แท้ ส่วนปัญหาต่อมาคือเมื่อพกบัตรเยอะๆ ขึ้นมันจะไม่ค่อยสะดวกสบายดังที่กล่าวไว้ตอนต้นบทความแล้ว และที่สำคัยอีกอย่างหนึ่งการที่มีโปรโมชั่นแบบนี้เยอะๆ จะทำให้ผู้บริโถครู้สึกชินกับโปรโมชั่นและไม่ตื่นเต้นกับการที่จะซื้อกาแฟกินสักแก้ว เพราะที่ไหนก็มีโปรโมชั่นนี้เหมือนกันนั่นเอง

      มาถึงบทสรุปของเจ้าตัวโปรโมชั่นนี้ตัวผมเองไม่อาจสรุปได้ว่าเจ้ากิจกรรมกระตุ้นยอดขายตัวนี้มันยังคง "สุดฮิต" หรือ "สิ้นคิด" กันแน่ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าร้านกาแฟต่างๆ จะนำเอามันไปประยุกต์ให้เข้ากับร้านเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ักับลุกค้าในร้านและเพิ่มยอดขายให้กับทางร้านได้อย่างไร พูดง่ายๆ คือทำอย่างไรที่จะให้โปรโมชั่นนี้ Win Win ทั้งคนกินและคนขายนั่นเอง ถ้าทำได้เจ้าโปรโมชั่นนี้ก็ถือได้ว่ายังเป็นเกมส์ยอดฮิตที่น่าเล่นอยู่ แต่หากนำเอาโปรโมชั่นนี้มาเพียวๆ ไม่รู้จัก ดัดแปลง คิดต่อยอด เชื่อได้ว่านอกจากยอดขายจะไม่เพิ่มแล้วยังจะถูกกล่าวหาว่าทำโปรโมชั่น "สิ้นคิด" นี้ขึ้นมาทำไมอีกด้วย แต่ในปัจจุบันก็เริ่มเห็นมีคนนำเอาความคิด 10 แถม 1 นี้ไปต่อยอดใช้กับร้านของตนเองบ้างแล้วนะครับ อย่างที่ผมเคยเห็นก็คือเปลี่ยนจากการสะสมจาก 10 แก้ว แถม 1 แก้วมาเป็น แถมตุ๊กตา หรือของพรีเมี่ยมของทางร้านเอง แม้แต่ร้านกาแฟอันดับหนึ่งของโลกอย่าง สตาร์บัคส์ก็นำวิธีนี้ให้ลูกค้าดื่มเพื่อสะสมแต้มรับสมุดบันทึก หรือแม้แต่กการลดจำนวนการสะสมแต้มให้น้อยลงเพื่อเพิ่มแรงจูงใจต่อการบริโภคของลูกค้าจาก 10 แถม 1 มาเป็น 5 แถม 1 บ้าง หรือ 6 แถม 1 บ้างซึ่งก็ช่วยได้ระดับหนึ่งและไม่ให้เกิดความจำเจ

                                                                                                                     กาลาโต้
วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

The Bookmark : ตำราแห่งประสบการณ์ที่ความล้มเหลวคือกำไร



       สำหรับคนที่ชื่นชอบในรสชาติของกาแฟแล้วคงไม่มีความฝันใดที่ดีไปกว่าการเป็นเจ้าของร้านกาแฟในฝันสักร้านหนึ่ง บางคนเพียรพยายามเก็บเล็กผสมน้อยคอยสะสมเงินตราที่มีอยู่เป็นทุนรอนในการสร้างฝันให้เป็นจริงในขณะที่อีกหลายๆ คนก็พยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงก่อนบินเดี่ยวเปิดร้านด้วยการเป็นลูกจ้างตามร้านกาแฟต่างๆ ส่วนคนที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรหรือทำแบบไหนเชื่อได้ว่าหนังสือประเภท "howto" ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ผมเองก็ยังมีติดบ้านอยู่หลายๆ เล่มเหมือนกัน

       สำหรับหนังสือ howto เกี่ยวกับธุรกิจกาแฟในบ้านเราตอนนี้มีออกมาหลายต่อหลายเล่ม บางเล่มก็เน้นหนักทางด้านวิชาการ บางเล่มก็เน้นด้านกรรมวิธี แทบทุกเล่ม ทุกหัว มัก focus ไปที่ความสำเร็จในการเปิดร้านกาแฟทั้งสิ้น มองในแง่หนึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีที่เสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้ที่จะเริ่มเข้ามาคลุกคลีกับธุรกิจนี้ แต่ถ้ามองให้ดีมันคือ "การสร้างวิมานในอากาศ" หรือเปล่า??

      มีคนหลายคนที่ทำตามหนังสือแล้วเจ๊ง
     
      มีคนหลายคนไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงทั้งการจัดการร้านหรือปรับปรุงเมนูให้เหมาะสมเพราะทำตามที่หนังสือบอก
     
      แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเริ่มที่จะเอียนกับหนังสือ howto เหล่านี้กลับได้พบหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ผมถือว่าไม่ใช่เป็นเพียง pocket book ปกิณกะเพื่อความบันเทิงธรรมดา หากแต่เป็น "ตำราแห่งประสบการณ์" ที่หนังสือ howto เหล่านั้นเทียบไม่ติดเลยทีเดียว นั่นก็คือหนังสือ "เรื่องเล่าร้านกาแฟ" นั่นเอง

       เมื่อเหรียญมี 2 ด้านฉันใด การทำธุรกิจก็ย่อมมี 2 ด้านเช่นกันคือถ้าไม่รวยก็เจ๊งไปเลย นั่นคือตรรกะง่ายๆ ของโลก เพียงแต่มนุษย์เรามักจะมองในด้านที่ตัวเองได้ประโยชน์เสียส่วนใหญ่จึงมักจะหลีกเลี่ยงที่จะมองอีกด้านของจริงเสมอๆ

       หนังสือเรื่องเล่าร้านกาแฟนี้ถือเป็นตำรา case study อีกเล่มหนึ่งที่บรรดาผู้ที่คิดหรือกำลังจะเปิดร้านกาแฟควรจะมีติดกาย ติดหิ้งหนังสือไว้ เพราะผู้เขียนคือคุณสุพัตราได้ถ่ายทอดประสบการณ์จริงในการเปิดร้านกาแฟของตนเองกลั่นเป็นตัวหนังสือบทความไว้ในหนังสือเล่มนี้ หากเพียงแต่สิ่งที่เธอสื่อนั้นก็คือการเปิดร้านกาแฟแล้ว "เจ๊ง" ไม่เป็นท่านั่นเอง

      ผู้เขียนได้เล่าถึงที่มาในการเปิดร้านกาแฟของตนเองที่เริ่มต้นด้วยความฝันเหมือนกับใครอีกหลายต่อหลายคนจนกระทั่งมีร้านกาแฟเป็ของตนเอง เล่าถึงวิธีการทำทุกวิถีทางให้ร้านกาแฟอยู่รอด จนกระทั่งมาถึงบทสรุปสุดท้ายของความเป็นจริงที่ว่าเมื่อทำเต็มที่จนไม่สามารถรับไหวแล้วก็ต้องปิดตัวลง อาจจะเป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด แต่มันก็คือความจริง อย่างน้อยแม้จะขาดขุนแต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์เป็นกำไร แถมเป็นกำไรที่หาได้ยากเสียด้วยเพราะบางทีเงินก็ซื้อประสบการณ์ไม่ได้เสมอไป

       ผมไม่ได้บอกว่าเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะทำให้ผู้ที่คิดเริ่มต้นท้อแท้ เพียงแต่อยากให้หนังสือเล่มนี้เป็นเข็มทิศชี้ทางมากกว่า เพราะเมื่อมีคนเดินผิดพลาดแล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นต้องเดินตามรอยผิดพลาดนั้น อย่างน้อยก็โชคดีที่ไม่ต้องเสียเงินและเวลาซื้อประสบการณ์เหมือนกับผู้เขียนและขอให้ผู้ที่คิดจะเปิดร้านกาแฟทุกท่านโชคดีในการเปิดร้านกาแฟทุกท่าน สวัสดีครับ

                                                                                                                       กาลาโต้
     
วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

Cupping Street : Om Coffee กาแฟที่ไม่มีพรมแดนศาสนา


       ในโลกของเราทุกวันนี้ การแบ่งแยกเชื้อชาติ การแบ่งแยกหมู่เหล่าและพวกพ้องรวมไปถึงการคบหาพวกเดียวกันและต่อต้านสิ่งที่ไม่ใช่พวกออกจากวงสังคมดูจะเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว ด้วยว่ามนุษย์นั้นแม้จะเป็นสัตว์สังคมที่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มแต่เพราะอัตตาและทัศนคติที่แตกต่างกันทำให้มนุษย์เลือกที่จะก่อตั้งกลุ่มของตนเองขึ้นมาเพื่อความอยู่รอดและเพื่อต้องการการยอมรับจากคนในสังคมนั่นเองดังจะเห็นได้จาก
      
       - มนุษย์มีภาษาท้องถิ่นเป็นของตนเอง
       - มนุษย์มีวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นของตนเอง
       - มนุษย์มีศาสนาเป็นของตนเอง
                           ฯลฯ

       โดยเฉพาะเรื่องศาสนานั้นต้องเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่เถียงกันไม่รู้จักจบสิ้นเพราะแต่ละศาสนาต่างก็ยกคำสอนมาอวดอ้างว่าศาสนาของตนดีกว่าศาสนาอื่น ทั้งๆ ที่หากมองถึงแก่นแล้วทุกศาสนาล้วนแล้วแต่สอนให้ทุกคนเป็นคนดีทั้งสิ้น นี่แหละครับคือเรื่องของอัตตาที่ผมว่าไว้!
   
       แต่สำหรับ coffee mania อย่างเราๆ ท่านๆ แล้วนั้นผมมั่นใจครับว่าย่อมไม่มีเรื่องชาติพันธุ์หรือศาสนามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน ด้วยว่ากาแฟนั้นถึงแม้จะมีที่มาต่างกัน ถิ่นกำเนิดที่แตกแยกจากกัน แต่ก็สามารถข้ามผ่านกำแพงเหล่านั้นและมาหลอมรวมให้คนทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนาได้ลิ้มลองดื่มด่ำกับเจ้าผลผลิตอันน่าพิศวงนี้ได้อย่างลงตัว เพราะ "กาแฟนั้นไม่แบ่งแยกศาสนา" ครับ ไม่ว่าชาติไหน ศาสนาก็ดื่มกาแฟเหมือนๆ กัน!


       เฉกเช่นร้า่น Om Coffee ที่ผมนำมาเสนอในวันนี้ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีและเห็นได้ชัดเพื่อสนับสนุนแนวคิดข้างต้น เพราะเชื่อไหมครับว่าเจ้าของร้านกาแฟร้านนี้เป็นคนไทยแต่นับถือศาสนาพราหมณ์!


       ร้าน Om Coffee มีนิวาสถานตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับศาลพระศิวะที่ประดิษฐานอยู่บนถนนบรมราชชนนีซอย ป.กุ้งเผา ซึ่งถ้าใครผ่านแถวนั้นบ่อยๆ คงจะคุ้นตากันดี ส่วนร้านกาแฟนั้นหากเราเดินออกจากห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้ามาเรื่อยๆ เลียบสะพานข้ามคลองไม่ถึง 50 เมตรจะเห็นร้านกาแฟร้านนี้ตั้งเด่นเป็นสง่าชวนมอง โดยเฉพาะป้ายไวนิลหน้าร้านที่ประกาศศักดากาแฟของตัวเองว่าเป็น "กาแฟขั้นเทพ"! เมื่อประกาศตัวแบบนั้นเราชาวคอกาแฟย่อมมีหรือที่จะพลาดได้ เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยเข้าร้านทุกคนครับ


       บรรยากาศภายในร้านนั้นต้องเรียกได้ว่าลงตัวยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นโทนสี การจัดโต๊ะเก้าอี้และอุปกรณ์ต่างๆ ของทางร้าน แต่สิ่งหนึ่งที่ตอกย้ำถึงการอยู่ร่วมกันของศาสนาที่ไม่ได้มีการแบ่งแยกของร้านนี้ก็คือถึงแม้ว่ารูปถ่ายหรือของประดับในร้านจะเกี่ยวข้องกับบรรดามหาเทพในศาสนาพราหมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่แต่เราก็จะเห็นว่ามีรูปภาพของพระพุทธรูปประดับกำแพงด้วยเช่นกัน ถือเป็นการผสมผสานในคอนเซปต์ที่ว่า "แม้แตกต่างแต่ไม่แตกแยก"


       และแล้วก็มาถึงเรื่องที่ทุกคนรอคอยกัน นั่นก็คือรสชาติและราคาของกาแฟ ต้องบอกก่อนว่าร้านนี้เค้าขายกาแฟและเครื่องดื่มในราคาที่ไม่สูงมากนัก โดยจะอยู่ระหว่างที่ 40-60 บาท เมนูส่วนใหญ่เน้นกาแฟเป็นหลัก มีช็อคโกแลต ชาและอิตาเลี่ยนโซดาเป็นตัวเสริมและที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งก็คือร้านนี้เขามีขนมคุกกี้หรือเค้กชิ้นเล็กๆให้ได้เลือกซื้อเพื่อทานคู่กับเครื่องดื่มกันอีกด้วย โดยขนมเหล่านั้นจะตีตราโลโก "Om Coffee" ไว้อย่างเสร็จสรรพ ถือเป็นการสร้าง brand recognition อีกทางหนึ่ง
      
       ส่วนเมนูกาแฟของที่นี่นั้นก็เหมือนกาแฟที่มีมาตรฐานทั่วไปคือ เอสเพรสโซจะเป็นเครื่องดื่มร้อนเท่านั้น ส่วนกาแฟตัวอื่นๆ จะมีทั้งร้อนและเย็น โดยกาแฟที่ผมสั่งมาเทสต์ในวันนี้นั้นมี 2 อย่างคือ ice latte และ ice americano ซึ่งกาแฟทั้ง 2 ชนิดนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังแต่อย่างใด ส่วนผสมของนมและกาแฟใน latte ลงตัวกันอย่างเหมาะเจาะ ส่วน americano นั้น ช่างขมกลมกล่อมได้ใจ จนอดไม่ได้ที่จะแอบกระซิบถามคุณโอ๊คเจ้าของร้านว่ามีเคล็ดลับอะไรถึงทำให้กาแฟที่ทำออกมามีรสชาติดีถึงเพียงนี้ ซึ่งคุณโอ๊คเองได้กล่าวอย่างมั่นใจว่านอกจากฝีมือและเทคนิคในการชงแล้วสิ่งสำคัญอยู่ที่การเลือกเมล็ดกาแฟให้ถูกต้องกับรสชาติ สอดคล้องกับปากคนไทย โดยคุณโอ๊คใช้เมล็ดกาแฟของ 94 Coffee เป็นหลัก สรุปว่าวันนี้หมดไป 95 บาทกับที่นี่แต่ก็ได้ความรู้สึกที่ดีๆกลับมาทดแทน

       ดังนั้นคุณผู้อ่านทุกท่านครับไม่ว่าเราจะนับถือศาสนาอะไร ชาติพันธุ์อะไร ขอให้จดจำไว้ว่าเราทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมโลกด้วยกันและอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติทั้งสิ้น ส่วนใครที่มาชิมกาแฟที่ร้าน Om Coffee แล้วอยากจะเลยไปไหว้ศาลพระศิวะที่อยู่ใกล้ๆ ต่อ แต่ไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์เทพ ขนบธรรมเนียมหรือการไหว้องค์ท่านก็ไม่เป็นไร เพราะคุณโอ๊คนั้นยินดีที่จะตอบคำถามเหล่านี้ด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว ขอเพียงให้พวกเราที่ไปพกใจที่พร้อมจะเปิดรับไปเท่านั้น ที่เหลือมัีนจะเป็นไปตามวิถีของมันเองครับ

"เชื่อผมเถอะครับว่ากาแฟไม่มีแบ่งแยกศาสนา"


                                                                                                              กาลาโต้
วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

Cupping Street : อบอวลด้วยอบอุ่นที่ 92000 cafE



       ผมเป็นคนที่เชื่อในเรื่ององค์ประกอบแวดล้อมและเชื่อว่าองค์ประกอบเหล่านั้นจะเป็นตัวช่วยให้เราตัดสินได้ว่าสิ่งที่เรากำลังสัมผัสอยู่นั้นเป็นเช่นไร ซึ่งก็คงเหมือนกับคอกาแฟหลายๆ ท่่าน ที่นอกจากสนใจในรสชาติกาแฟแล้วยังสนใจในองค์ประกอบแวดล้อมอีกด้วย ถ้าบรรยากาศแวดล้อมดีก็จะช่วยส่งเสริมให้กาแฟที่รสชาติดีอยู่แล้วนั้นดียิ่งๆ ขึ้นไป แต่ในทางกลับกันหากสิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมก็อาจทำให้กาแฟแม้จะอร่อยแค่ไหนก็มีรสชาติกร่อยขึ้นมาทันตา เคยเจอไหมครับ ร้านกาแฟสดแต่เจ้าของร้านผัดกะเพราควันโขมงทั่วร้าน หรือร้านกาแฟแต่ขายส้มตำ ผมนี่แหละเคยเจอมาแล้วครับ อยากจะบอกว่าครั้งเดียวก็เกินพอ!


       สำหรับบรรดา coffee mania ทั้งหลายที่นิยมชมชอบที่จะดื่มด่ำกาแฟภายใต้บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น ผมขอแนะนำร้านกาแฟ 92000 cafE By Kwoung ครับ ซึ่งการตกแต่งภายในร้านให้ความรู้สึกเป็นกันเองเหมือนกับอยู่ที่บ้านของเราเลยทีเดียว


      เมื่อเข้าไปในร้านสิ่งแรกที่เราได้สัมผัสเห็๋นก็คือการตกแต่งร้านในสไตล์ที่ทำให้เราชวนคิดไปว่ากำลังอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้าน ด้วยว่ามุมกำแพงมีสิ่งของต่างๆ ประดับ อาทิหนังสือต่างๆ โทรทัศน์แบบเก่าๆ และที่สำคัญกล้องถ่ายรูปมากมายหลายแบบจึงทำให้พออนุมานเอาเองได้ว่าตัวเจ้าของเองอาจมีงานอดิเรกคือการถ่ายภาพ ถัดมาเป็นโต๊ะไม้นั่งยาวๆ และแต่ละมุมก็มีชุดโต๊ะ เก้าอี้วางอยู่ เหมือนกับว่าเป็นมุมส่วนตัวของคนที่มานั่งกินกาแฟ และส่วนที่นั่งมุมที่ติดถนนใหญ่นั้นครั้งหนึ่งเคยมีคอมพิวเตอร์มาตั้งให้คนที่มาดื่มกาแฟได้มานั่งเล่นเน็ตจิบกาแฟ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงทำให้ยกเลิกไปและกลายเป็นมุมนั่งเล่นเฉยๆ ในปัจจุบัน แต่เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะ build อารมณ์ให้เหมือนกับนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นที่บ้านได้มากโขแล้ว


       สำหรับกาแฟของร้าน 92000 cafE ก็เหมือนกับร้านกาแฟทั่วๆ ไปคือมีสิ่งที่ทุกร้านกาแฟพึงมี นั่นก็คือกาแฟประเภทต่างๆ ชายุโรปและพวกช็อคโกแลตทั้งร้อนและเย็น ขายในราคาที่เหมาะสมคือแก้วเล็กอยู่ประมาณ 40 บาทขึ้นไป ส่วนแก้วใหญ่นี่ราคา 50 บาทขึ้นไปโดยประมาณ แต่มีข้อควรจำสักนิดสำหรับคอกาแฟมือใหม่ที่มาร้านนี้ เพราะการสั่ง "เอสเพรสโซเย็น" ตามความเคยชินนั้น อาจจะไม่ทำให้เราได้กาแฟตามที่ต้องการด้วยว่าร้านนี้เขามีมาตรฐานสากลในการชงกาแฟอยู่ เอสเพรสโซนั้นมีเพียงแค่แบบร้อนเท่านั้น ไม่มีเอสเพรสโซเย็น (อันที่จริงประเทศไหนๆ เค้าก็มีแต่เอสเพรสโซร้อนเท่านั้น มีแต่บ้านเรานี่แหละที่มีเอสเพรสโซเย็น!!!) ถ้าต้องการแบบเข้มข้นเหมือนเอสเพรสโซเย็นคงต้องสั่งรายการอื่นแทนเช่น คาปูชิโน หรือลาเต้


       ส่วนสำหรับผมนั้นกาแฟที่ดูจะเข้าเค้าและเหมาะกับผมมากที่สุดก็คือ "Long shot" ชื่อฟังครั้งแรกอาจคิดว่าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่จริงๆ แล้วก็คือกาแฟเอสเพรสโซที่ผสมแบบ double shot เสริฟบนแก้วขนาด 22 ออนซ์ ตอนมาค่อนข้างประทับใจแต่เป็นที่น่าเสียดายว่ารสชาติอ่อนเข้มข้นไปนิด ถ้าพนักงานกดผงกาแฟแน่นกว่านี้สักหน่อยก็น่าจะได้รสชาติที่ดีขึ้น ซึ่งพนักงานนั้นก็หาใช่ใครไม่เป็นคุณ Kwoung เจ้าของร้านนั่นเอง อยากได้รสชาติแบบไหน อย่างไร บอกได้เลยครับ เพราะเขาทำตาม request อยู่แล้ว


       สรุปโดยรวมแล้วหากใครอยากทานกาแฟที่ราคาไม่สูงมาก มีที่นั่งส่วนตัวสบายๆ เหมือนอยู่ในบ้านของตัวเอง ร้าน 92000 cafE น่าจะเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ตอบโจทย์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ซึ่งร้านนี้หาง่ายครับ อยู่ปากซอยลาดพร้าว 34 เลย ไม่ต้องเข้าซอยไปให้เสียเวลา ลงรถเมล์มาเดินเข้าร้านได้ทันที หากใครที่อ่านแล้วสนใจก็อยากให้ลองมากันสักครั้ง แล้วคุณจะพบว่าความอบอวลที่แสนจะอบอุ่นนั้นบางทีก็อยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกล จากเราเท่าไหร่นักครับ

                                                                                                               กาลาโต้



วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

Cupping Street : มงคลทางรสชาติกับกาแฟมงคล


      
       "มงคล" เป็นคำที่มีความหมายอันดีงามอยู่ในตัว มีความหมายว่าเหตุนำความสุข ความเจริญมาให้ นำความโชคดี ความมีสุขสวัสดีมาให้ตามปรารถนา เท่าที่เรารู้กันนั้นแบ่งเป็น 2 ประเภทนั่นก็คือ มงคลทางโลกและมงคลทางธรรม แต่นับจากที่ได้ไปเดินที่สยามสแควร์แล้วผมกลับพบเจอความมงคลอีกประเภทหนึ่งที่ได้จากกาแฟนั่นก็คือ มงคลแห่งรสชาติที่ร้าน "กาแฟมงคล"

       ร้านกาแฟมงคลแม้่จะเป็นร้านกาแฟเล็กๆ แต่รสชาติกาแฟนี่ต้องเรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เทียบเท่าร้านกาแฟจากต่างประเทศไ้ด้สบายๆ ในราคาที่เรียกกันว่า "ถูกกว่าเป็นเท่าตัว" เพราะทั้งตัวเจ้าของเองหรือแม้กระทั่งคนที่ชงกาแฟในฐานะบาริสต้าล้วนใส่ใจในการชงกาแฟทุกขั้นตอน เรียกได้ว่าทุกแก้วใส่ความตั้งใจลงไปเพื่อให้ได้กาแฟที่ดี รสชาติเยี่ยม ถือเป็นมงคลรสชาติต่อผู้กินให้ได้ดื่มด่ำกับกาแฟที่มีคุณภาพ

      ถึงแม้คุณ "โอเปก" เจ้าของร้านจะเป็นน้องชายของดาราชั้นนำแนวหน้าอย่าง "โอปอล" ก็ตามทีแต่ก็ไม่ได้อาศัยเส้นสายของพี่ปูทางลัดสำหรับร้านกาแฟแต่อย่างใด ด้วยว่าก่อนที่จะเปิดร้านกาแฟมงคลนั้น ทางบ้านก็ได้เปิดร้าน "ประมวลมงคล" มาก่อนแล้วโดยทีแรกหวังจะเน้นขายกาแฟแต่พอนำอาหารมาเสริมเลยทำให้คนรู้จักร้านประมวลมงคลในรูปแบบของร้านอาหารเสียมากกว่า ดังนั้นคุณโอเปกจึงได้ออกหาสถานที่ใหม่เพื่อมาทำร้าน "กาแฟมงคล" ที่เน้นด้านกาแฟโดยเฉพาะเพื่อให้ตรงตามความตั้งใจแต่แรก คุณโอเปกถึงขนาดหาที่เอง ตกแต่งร้านเอง และไปเรียนทำกาแฟเองเพื่อให้ได้กาแฟที่รสชาติดีที่สุดมาเสริฟพวกเราซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะกาแฟอร่อยมาก





       แม้ว่าวันที่ผมไปร้านกาแฟมงคลจะเป็นวันหยุดราชการซึ่งบรรดาเหล่าลูกค้าหลักของทางร้านอันได้แ่ก่นิสิต นักศึกษารั้วจามจุรี จะไม่ค่อยมีก็ตามที แต่ทางร้านกลับมีลูกค้าวัยรุ่นที่เดินเที่ยวสยามและมาบุญครองมาซื้อกันอย่างต่อเนื่อง เท่าที่ฟังดูเด็กเหล่านั้นเหมือนจะเป็นขาประจำที่นี่ไปเสียแล้ว เรียกได้ว่ามาสยามเมื่อไหร่เป็นต้องแวะ ส่วนหนึ่งติดใจในอัธยาศัยของขายแต่เกือบทั้งหมดล้วนแต่พิสมัยในรสชาติของกาแฟ ซึ่งต้องขอบอกว่ากาแฟที่นี่เขามีหลายอย่างหลายรายการให้เลือกสรรแถมยังเลือกรสชาติได้อีกด้วย จะหวาน จะมัน จะขม บอกคนชงรับรองไม่ผิดหวัง ผมเองก็เป็นลุกค้าที่นี่มาหลายครั้งเช่นกันมาทีไรที่ต้องสั่งให้ได้คือ "กาแฟมงคล" ที่ถือเป็น signature drink ของร้านเลยก็ว่าได้ ด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ที่ดัดแปลงมาจากกาแฟสไตล์ไทยที่ปรุงให้ถูกปากคนไทย ผมให้ 10 เต็มเลย แต่สำหรับวันนี้เห็นมีเมนูใหม่ของร้านเข้ามาป็น "มงคลดอยช้าง" จากชื่อพอจะเดาได้ว่าเป็นการใช้เมล็ดกาแฟดอยช้างที่ถือว่าเป็นเมล็ดกาแฟคุณภาพอันดับต้นๆ ของประเทศไทยมาทำเป็นกาแฟมงคล พอเห็นแบบนี้แล้วไม่สั่งก็คงไม่ได้ เลยสั่งมาชิมสักแก้ว โอ้โฮ รสชาติดีอย่างบอกไม่ถูก ความนุ่มกลมกล่อมของกาแฟผสมผสานกับรสชาติได้อย่างลงตัว ถือเป็นมงคลของลิ้นจริงๆ ที่ได้ลิ้มรส


       ทางด้านราคา แม้จะทราบกันดีว่าราคาค่าเช่าพื้นที่ในย่านนี้จะแพงหูฉี่ก็ตาม แต่ด้วยความที่อยากให้ลูกค้าได้กินกาแฟในราคาที่จับต้องได้ คุณโอเปกจึงตั้งราคากาแฟในราคาปกติมาตรฐานทั่วไป โดยกาแฟร้อนอยู่ราวๆ ประมาณ 30 บาท ส่วนเครื่องดื่มเย็นอยู่ประมาณ 40 บาท (ส่วนกาแฟมงคลดอยช้างที่ผมสั่งวันนี้ราคา 50 บาท แพงกว่ากาแฟชนิดอื่นๆแต่ต้องบอกว่ายังถูกกว่าเจ้าอื่นครับแถมรสชาติยังดีอีกด้วย) เรียกได้ว่าไม่ได้เน้นขายราคาแพงต่อแก้วแต่เน้นเอาปริมาณคนกินมากกว่า ทำแบบนี้ได้ทั้งลูกค้าขาประจำและลูกค้าขาจรเลยครับ ส่วนใครที่ไม่ชอบกินกาแฟทางร้านเขาก็มีเครื่องดื่มประเภทชาและอิตาเลี่ยนโซดาไว้คอยบริการด้วยครับ เรียกได้ว่ามาร้านนี้ได้เครื่องดื่มที่ชอบกลับไปแน่นอน

       เล่ามาถึงขนาดนี้แล้วคงอยากรู้กันว่า ร้าน "กาแฟมงคล" อยู่ส่วนไหนของประเทศ ขอบอกครับว่าอยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกล อยู่ใต้อาคาร 29 พลาซ่า หลังร้านก๋วยเตี๋ยวรสดีเด็ด ตรงกันข้ามกับสะพานลอยข้ามไปห้างมาบุญครอง ลองไปชิมกันสักทีคงจะไม่เสียหายอะไร เพราะบางทีอาจจะได้รับรู้ว่ามงคลทางรสชาตินั้นหน้าตาเป็นอย่างไรและไม่แน่ว่าถ้าไปช่วงโอกาสดีๆ อาจได้ถ่ายรูปฟรีๆ กับดาราก็เป็นได้ เพราะมีดาราหลายๆ คนเป็นขาประจำร้านนี้ด้วยเช่นกันครับ

                                                                                                     กาลาโต้

กรุ่นกลิ่นกาแฟ : บทแรกของการเดินทาง

       ดูจะเป็นธรรมเนียมไปเสียแล้วสำหรับนักเขียนที่พอจะเขียนเรื่องราวเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นมาบทแรกของการเขียนมักจะต้องยกเอาประวัติ ความเป็นมาของเรื่องนั้นๆ มาเล่าให้ฟังเป็นการปูพื้นฐานให้ผู้อ่านเข้าใจถึงเรื่องๆ นั้นก่อนที่จะดำเนินเรื่องต่อไปและเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านมายิ่งขึ้น

       สำหรับบล็อคนี้อาจจะดูแปลกไปจากหลักการเขียนทั่วไปสักหน่อย ด้วยว่าจะไม่เริ่มต้นด้วยประวัติ ที่มาของกาแฟ ด้วยผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่มักจะได้ยินเรื่องราวตำนานต่างๆ ของกาแฟมามากพอสมควรไม่ว่าจะเป็นตำนานของเด็กน้อยเลี้ยงแกะ "Kaldi" ตำนานนักบวชที่ใช้ผลกาแฟทุบต้มน้ำแก้ง่วง หรือแม้กระทั่งประวัติการเข้ามาของกาแฟในประเทศ เพราะผมแน่ใจว่าแม้พวกเราจะไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้แต่พวกเราก็ "ชอบ" ที่จะดื่มกาแฟ!

       บล็อคแห่งนี้จะนำเสนอเรื่องราวของเจ้าวัตถุรูปร่างคล้ายถั่ว กลิ่นหอมเย้ายวนใจชนิดนี้ในรูปแบบต่างๆ ไม่มีกฏเกณฑ์ต่างๆ เปรียบเสมือนเป็นบันทึกการเดินทางของคนที่เข้าไปอยู่ในโลกของกาแฟ เมื่อได้พานพบสิ่งใดที่น่าเรียนรู้ น่าจดจำก็ได้มาบันทึกไว้ให้นักเดินทางคนต่อไปหรือคนที่ไม่มีโอกาสได้เดินทางแต่อยากรับรู้ได้อ่านกัน



       ดูๆ ไปแล้วชีวิตกับกาแฟก็มีเรื่องที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งเหมือนกันนะครับ กาแฟทุกแก้วที่เราจะดื่มนั้นล้วนมีกลิ่นที่หอมน่ากินทั้งสิ้นจนคอกาแฟยากที่จะปฏิเสธได้ แต่พอได้ดื่มแล้วเราถึงจะได้รู้ว่ากาแฟแก้วนั้นรสชาติเป็นอย่างไร บางแก้วหวาน บางแก้วขม บางแก้วกลมกล่อม เฉกเช่นชีวิตของคนเรา ทุกวันในชีวิตอาจดูเหมือนสุดหรู  perfect ดูไม่น่าจะมีปัญหาใดๆ แต่เมื่อมองลงไปให้ลึกแล้วบางวันอาจจะมีปัญหา บางวันอาจจะไร้ปัญหา แน่นอนว่าไม่ราบเรียบเหมือนกันทุกวันแน่นอน ดังนั้นถ้าวันนี้มีปัญหาก็ค่อยๆ แก้มันไป ถ้าแก้ไม่ได้ก็จงอย่าเก็บเอามาคิดมาอย่าคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นตลอดไป เพราะผมเชื่อว่า

 "กาแฟแก้วพรุ่งนี้รสชาติไม่เหมือนวันนี้แน่นอน"


                                                                                                              กาลาโต้