ผมจำไม่ได้เสียแล้วว่าพระสงฆ์รูปใดที่เคยกล่าวไว้ว่า "บุญเป็นของพึ่งได้" ซึ่งผมเองนั้นต้องสารภาพโดยดุษฎีว่าเรื่องศาสนากับผมนั้นยังจูนไม่เข้ากันสักเท่าไหร่ ผมยังเป็นมนุษย์ปถุชน ที่ยังมีความโลภ โกรธ หลง ยังอยากจะเที่ยว ยังอยากดูหนัง ยังอยากกินของอร่อยๆ ดังนั้นเรื่องธรรมะ เรื่องทางธรรมผมจึงยังไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่แล้ววันหนึ่ง วันที่ผมหดหู่ วันที่ผมท้อแท้ วันที่ผมเหมือนกับดูจะพ่ายแพ้ต่อทุกสิ่งทุกในโลกนี้เชื่อไหมครับว่าสิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นราวกับเป็นเพื่อนสนิทที่เข้ามาคอยปลอบประโลม คอยเยียวยารักษาใจและเป็นเหตุให้ผมได้เข้าใจถึงคำกล่าวข้างต้นและเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดบทความ entry นี้ขึ้นมา
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นจากการที่ผมหลบหนีความวุ่นวายทางโลกด้วยการไปกราบไหว้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ตำหนักพระแม่กวนอิมโชคชัย 4 ตามคำชวนของบรรดาเหล่าคนรู้จัก ซึ่งเมื่อไปถึงพบว่าเป็นสถานที่ๆเงียบสงบเหมาะกับการปลีกวิกเวกออกจากความวุ่นวายเพื่อค้นหาสัจธรรมในตัวตนเสียยิ่งนัก พื้นที่ส่วนใหญ่ของตำหนักพระแม่กวนอิมนี้มีรูปปั้นของพระแม่กวนอิมและพระโพธิสัตว์ปางต่างๆ ประดิษฐานทั่วบริเวณพร้อมทั้งรายละเอียดของพระโพธิสัตว์แต่ละปางอันแสดงถึงความยากลำบากในการบำเพ็ญเพียรจนกว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ที่คนทั่วไปยากที่จะกระทำได้รวมไปถึงพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหมื่นพระองค์ที่มีขนาดใหญ่และสร้างขึ้นจากแรงศรัทธาพาลให้คิดไปได้ว่าไม่น่าเชื่อว่าด้วยกำลังและแรงศรัทธาของมนุษย์จะก่อให้เกิดอนุสรณ์สถานอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้
และในระหว่างที่เดินชมความงาม ทำบุญตามอัตภาพและคิดถึงสิ่งต่างๆ รอบๆด้วยความคิดเรื่องเปื่อยอยู่นั้น ราวกับพระคุณเจ้า ณ ที่นั้นจะล่วงรู้ถึงความคิดอันซ่อนอยู่ภายในจึงเอื้อนเอ่ยด้วยว่าจาออกมาว่า "ถ้าอยากเห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ สูงใหญ่ สร้างด้วยความเพียรและแรงศรัทธาที่เปี่ยมล้นไม่น้อยกว่านี้ให้ไปดูที่ตำหนักพระศิวะแถวรามอินทรา เพราะผู้สร้างเป็นเจ้าของคนเดียวกันกับพระตำหนักเจ้าแม่กวนอิมโชคชัย 4 แห่งนี้" ดังนั้นเมื่อความแปลกใจปนสงสัยได้กำเนิดขึ้นในหัวใจท่ามกลางสภาวะอันเบื่อ เหงาแล้วการเดินทางต่อไปตามคำชักชวนของพระคุณเจ้าจึงได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งภายในวันเดียวกันทั้งที่ปัจจัยในกระเป๋ามีอยู่เพียงแค่ค่ารถไปกลับเท่านั้นแต่ก็ยังไม่ย่อท้อเดินทางด้วยระยะทางหลายสิบกิโลไปยังซอยคู้บอน 27 แยก 27 เพื่อตามหาตำหนักพระศิวะที่ว่านี้
ทันทีที่ได้เห็นองค์พระศิวะสูงใหญ่ราวตึก 3 ชั้นอยู่เบื้องหน้า ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางกว่า 2 ชั่วโมงก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ความปิติและยินดีกลับเข้ามาแทนที่ในหัวใจอย่างเปี่ยมล้น และเมื่อเดินสำรวจภายในแทบไม่น่าเชื่อครับว่าผู้สร้างสถานที่แห่งนี้พยายามสร้างพื้นที่ๆ ไกลและกันดารแห่งนี้ให้คนรู้จักและมากราบไหว้กันทั้งๆ ที่สถานที่แห่งนี้สร้างกันมาได้หลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่เสร็จดี ยังคงต้องก่อสร้างอะไรหลายต่อหลายอย่างอีกมากมาย แต่ผู้สร้างก็บอกว่ายังสร้างไปเรื่อยๆ ไม่รีบ สร้างตามกำลังที่เรามีเสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น นี่แหละครับแรงแห่งศรัทธา ผมกล้าพูดได้เลยว่าถ้าไม่ศรัทธาจริงคงไม่กล้าที่จะบ้าสร้างอะไรแบบนี้ทั้งที่ไม่เห็นตัวเงินกันหรอกครับ
และเมื่อเดินรอบๆ ด้วยความคิดพิจารณาอย่างถ่องแท้จนหมดสิ้นรวมถึงมองย้อนไปยังตำหนักพระแม่กวนอิมโชคชัย 4 ที่ไปกราบสักการะมาก่อนหน้านี้ทำให้ผมเริ่มคิดอะไรได้บางอย่าง ความหดหู่และฟุ้งซ่านที่เคยมีเริ่มหมดไป สติปัญญาเริ่มที่จะกลับมาหรือบางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์กับคำถามของหัวใจในสิ่งที่ผมสงสัยมาโดยตลอดว่า "บุญนั้นมันพึ่งได้จริงหรือ?" ก็เป็นได้
เกือบ 18.30 นาที ผมเดินออกมาจากซอยคู้บอน 27 แยก 27 เพื่อรอรถสองแถวเพื่อออกจากซอยในระหว่างที่รอนั้นผมได้พบกับร้านกาแฟร้านหนึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเรียกความสนใจของผมได้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวแต่ไม่ใช่เพราะว่าหน้าร้านมีคนมุงกันเยอะหรือมีคนมานั่งทานกาแฟกันมากหรอกนะครับแต่เป็นเพราะชื่อของร้านกาแฟต่างหาก เอ....หรือว่าบุญจะเป็นสิ่งที่ชักพาให้เรามาเจอร้านกาแฟร้านนี้ ผมคิดในใจซึ่งไวพอกับเท้าทั้งสองของผมก้าวข้ามเข้าไปนั่งในร้านอย่างไม่รู้ตัวที่ร้าน "บ้านธรรมะกาแฟสด"
แวบแรกที่เข้าไปความสงสัยต่างๆ ที่มีก็เริ่มกระจ่างเพราะเนื่องจากการตกแต่งร้านนั้นส่วนใหญ่ไม่ได้เน้นความเลิศหรูอลังการเฉกเช่นร้านกาแฟสดทั่วไป หากแต่ประดับประดาไปด้วยภาพพระอริยะสงฆ์ คำพุทธศาสนสุภาษิตและหนังสือธรรมะต่างๆ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่แปลกใหม่และมีความน่าสนใจไปอีกแบบ
และเมื่อเลียบๆ เคียงๆ สอบถามพนักงานในร้านแล้วได้รับคำตอบที่ว่าร้าน "บ้านธรรมะกาแฟสด" เปิดให้บริการมาหลายปีแล้วโดยเจ้าของคือป้าแมวที่ขายบัวลอยอยู่หน้าร้านกาแฟนี้เอง (ขอบอกว่าบัวลอยของป้าแมวอร่อยมาก) เนื่องจากป้าแมวแกเป็นคนใจบุญสุนทาน ชอบทำบุญ ฟังธรรมและเข้าวัดเข้าวาอยู่เสมอจึงได้เปิดร้านกาแฟนี้ขึ้นมาโดยหวังแค่ว่าให้คนที่มาทานกาแฟได้อะไรดีๆ กลับไปบ้านเพื่อเป็นมงคลแก่ตัวเองเพราะแกเชื่อว่าบุญเป็นสิ่งที่ใครทำใครได้ และเป็นของที่พึ่งพาได้อย่างแท้จริง
ผมสั่ง Espresso เย็นหวานน้อยมากิน แต่เชื่อไหมครับว่าแม้ว้นนี้กาแฟจะเข้มข้นถึงใจแต่ทำไมถึงมีความหวานแบบอิ่มเอมใจผสมอยู่มากมายในกาแฟแก้วนี้ก็ไม่รู้ กาแฟหนึ่งแก้วคู่กับหนังสือธรรมะหนึ่งเล่มใครจะไปคิดครับว่าเป็นสิ่งที่สามารถเข้ากันได้อย่างลงตัว และพอมาถึงวินาทีนั้นผมได้รับรู้เลยครับ หากเรารู้จักปล่อยวางเสียบ้าง มองในสิ่งที่ยากลำบากกว่าเรา และเข้าใจในสภาพความเป็นจริงที่ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรจีรังแล้ว ทุกคนจะรู้ว่าบุญและธรรมะนั้นเป็นเพียงสิ่งๆ เดียวที่พึ่งได้อย่างแท้จริง อย่างน้อยๆ ก็ทำให้ให้ผมดับความกระหายได้ทั้งทางกายและทางใจ......อนุโมทนาครับ
กาลาโต้
1 ความคิดเห็น:
กาแฟร้อนร้านนี้ ทานแล้วคงเย็นใจ
แสดงความคิดเห็น