วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555 | By: กาลาโต้

The Bookmark : ด้วยรักและกาแฟ...



       สวัสดีครับคนรักกาแฟทุกท่าน The Bookmark ในตอนนี้ต้องถือว่าเป็นการแนะนำหนังสือที่เร่งด่วนเอาการอยู่ครับเพราะเนื่องจากว่าวันนี้ได้ไปที่ร้านหนังสือเพื่อหาหนังสืออ่านตามเรื่องราวและพบนิตยสารเล่มนี้วางแผงอยู่จงทำให้ต้องซื้อและรีบหยิบเอามาให้แฟนาุแฟนคนรักกาแฟได้ทราบข่าวกันก่อนเพราะหนังสือคราวนี้เป็นนิตยสารรายเดือนครับ ซึ่งมียอดพิมพ์จำกัดหากเปลี่ยนปกใหม่ก็จะหาซื้อได้ยากไม่เหมือน pocket book ทั่วๆ ไป โดยนิตยสารที่ว่านี้ก็คือนิตยสาร "Food Of Life" นั่นเองครับ


       ความพิเศษของนิตยสาร Food Of Life เล่มนี้ (เล่มที่ 40 ประจำเดือนกุมภาพันธ์) ก็คือการนำเอากาแฟมาเป็น Theme หลักของนิตยสาร โดยมีชื่อประจำฉบับนี้ว่า "Coffee With Love" หรือหากแปลอย่างไทยๆ ง่ายๆ ก็คงแปลว่า "ด้วยรักและกาแฟ" อะไรประมาณนั้นครับ



       ดังที่กล่าวไปแล้วครับว่า theme ประจำฉบับนี้เป็นเรื่องของกาแฟดังนั้นเมื่อเราเปิดเข้าไปข้างในเนื้อเรื่องส่วนใหญ่กว่า 70% ของเล่มนี้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกาแฟทั้งสิ้นเรียกได้ว่าตั้งแต่หน้า editor's note ไปจนถึงปกหลังเลยครับ เรียกได้ว่าหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดสุ่มหน้าไหนก็เจอเรื่องของกาแฟแน่นอน



       ผมขอยกตัวอย่างบทความและเรื่องที่อยู่ในนิตยสารฉบับนี้ให้ผู้อ่านได้ดูเรียกน้ำย่อยก่อนไปซื้อฉบับเต็มๆ มาอ่านก็แล้วกันครับ เริ่มตั้งแต่บทความวิวัฒนาการเรื่องเครื่องชงกาแฟ, บทความ Coffee Paparazzi ที่พูดถึงเรื่องถ่ายดาราดังๆกับแก้วกาแฟ, Scoop เรื่อง Coffee Or Me? อันเป็นบทสัมภาษณ์เชฟฟางแห่งรายการ "ครัวอินดี้" พร้อมสูตรอาหารที่มีส่วนผสมที่ทำจากกาแฟ, รีวิวร้าน spoonful Zakka Cafe ที่เป็นร้านค้าชอปปิ้งของกระจุกกระจิกแถมมีกาแฟเบเกอรี่ไว้บริการอีกด้วย




       Scoop พิเศษ "Coffee : Culture In A Cup" ที่มา ขั้นตอนกว่าจะมาเป็นกาแฟ พร้อมบอกประเภทกาแฟที่เรากินกันอยู่ทุกวันว่ามีอะไรบ้างอาทิ espresso, mocha, latte ฯลฯ, บทความทายนิสัยจากกาแฟที่ดื่ม, บทความพาเที่ยวดอยตุง, บทความพิเศษ "พลิกใจคน พลิกผืนป่าด้วย 2 เมล็ดพันธุ์แห่งความอัศจรรย์ : กาแฟ & แมคคาเดเมีย", บทความสัมภาษณ์คุณพันธุมา มงคลนาวินที่มีต่อกาแฟ, และ Hi Light ของงานคงหนีไม่พ้น scoop แนะนำ 30 ร้านกาแฟรสละเมียดตั้งแต่อารมณ์เก๋าจนถึงอารมณ์เก๋ (ซึ่งไม่มีร้านที่รีวิวใน blog นี้เลยครับ ฮาๆ)



        เป็นอย่างไรกันบ้างครับแค่เห็นชื่อบทความก็น่าสนใจกันแล้วใช่ไหม ใครอยากอ่านเนื้อหาเต็มๆ ก็ไปหาซื้ออ่านกันได้ครับตามร้านหนังสือทั่วไป ราคาเพียง 95 บาทเท่านั้นเอง เหมาะอย่างยิ่งแก่การเก็บสะสมขึ้นหิ้งไว้อ่าน ตอนนี้ยังพอหาซื้อกันได้อยู่เพราะเล่มของเดือนมีนาคม (จะสิ้นเดือนเดือนมีนาคมแล้วนะนี่ หุ หุ) ยังไม่ออกมา หากออกมาเมือ่ไหร่เล่มนี้ก็จะหายไปจากแผงทันทีแล้วจะตามเก็บกันยากนะครับ....สิบอกให้

                                                                                
                                                                                                                     กาลาโต้
วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555 | By: กาลาโต้

Cupping Street : มนต์ ดื่ม รัก ที่ Coffeol


       สำหรับยุคที่ร้านกาแฟสดผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในบ้านเราทุกวันนี้ การหากาแฟสดสักแก้วดื่มคงมิใช่เรื่องยากเย็นสักเท่าไหร่ หากคุณผู้อ่านเป็นคนช่างสังเกตสักนิดจะเห็นว่าวันหนึ่งๆ ตั้งแต่เช้าจรดเย็นเราพบเจอกับร้านกาแฟสดเรียกได้ว่านับสิบๆ เจ้าเลยทีเดียว แต่หากว่าเราต้องการดื่มกาแฟสดสักแก้วหนึ่งที่เป็นกาแฟสำหรับเราจริงๆ กาแฟที่มีระดับการชงมาตรฐาน กาแฟที่มีรสชาติตามที่เราต้องการ เห็นทีก็คงหายากพอตัวเลยทีเดียวสำหรับการเสาะหา ดังนั้นวันนี้ผมจึงมีร้านกาแฟร้านหนึ่งมานำเสนอเพื่อเป็นตัวเลือกสำหรับคอกาแฟที่ต้องการสุนทรียทางรสชาติได้ไปลองกัน ร้านนี้เค้ามีชื่อว่าร้าน Coffeol (อ่านว่า คอฟฟี่ออล) ครับ



       เนื่องจากมีภารกิจบางประการที่ต้องทำแถวบางนา ดังนั้นเมื่อเสร็จธุระแล้วจึงได้แวะเข้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลบางนาหากาแฟดื่มตามธรรมเนียมปฏิบัติซึ่งก็เจอแต่ร้านกาแฟเดิมๆ หลายร้าน จนกระทั่งขึ้นไปถึงชั้น 6 ใกล้ๆกับโรงภาพยนตร์ major cineplex จึงพบกับร้านกาแฟร้านหนึ่งที่ตกแต่งร้านดูดี หรูเรียบง่ายสะดุดตา และเมื่อเหลือบไปมองสโลแกนของร้านที่ว่า "Coffee For All" ที่ตระหง่านท้าทายสายตาอยู่บนโลโกของร้าน ทำให้ผมตัดสินใจเข้าไปในร้านทันทีโดยไม่ชักช้า



       พื้นที่บริเวณร้าน coffeol นั้นตั้งอยู่บนพื้นที่ลานกว้าง ไม่มีผนังกั้น จึงทำให้ร้านดูโล่ง โปร่งสบาย ไม่อึดอัด แถมยังมีบรรยากาศกลิ่นอายของร้านกาแฟแบบ open ของต่างประเทศเจือปนอยู่ด้วย



       นอกเหนือจากการจัดร้านโดยการบริหารพื้นที่อย่างเหมาะสมแล้ว เรื่องความสะอาดของร้านก็ถือว่ามีความสะอาดในระดับต้นๆ เลยทีเดียว โต๊ะทุกตัวถูกเช็ดอยู่ในสภาพที่สะอาดแถม counter bar ก็ดูสะอาดเป็นระเบียบทำให้ผู้ที่มาดื่มกาแฟเชื่อมั่นในเรื่องของสุขอนามัยอีกด้วย



       หลังจากที่ดื่มด่ำกับสภาพบรรยากาศกันพอสมควรจึงได้เวลาที่ผมจะสั่งเครื่องดื่มเสียที และเครื่องดื่มนี่แหละครับจะเป็นตัวชี้วัดถึงคุณภาพกาแฟและร้านกาแฟอย่างแท้จริง บางร้านแต่งร้านเสียสวยงามชวนนั่งแต่พอจิบกาแฟไปจิบแรกแทบอยากจะจ่ายตังค์กลับบ้านทันทีเลยครับ เพราะหัวใจของการดื่มกาแฟนั้นอยู่ที่ตัวกาแฟเป็นสำคัญส่วนองค์ประกอบอื่นๆ เป็นปัจจัยรองครับ หลังจากที่ดูเมนูเครื่องดื่มของร้านนี้อยู่ไม่ถึงนาทีก็ตัดสินใจสั่ง Ice latte มากิน Barista ก็ถามว่าจะเอาแบบหวานเข้มหรือหวานมัน ใส่ syrup ไหมก็บอก barista ไปตามที่เราต้องการ และเมื่อกาแฟมาส่งที่โต๊ะก็ต้องพบกับความประหลาดใจนิดๆ เมื่อสิ่งที่บริกรนำมาให้มีสิ่งที่นอกเหนือจากอุปกรณ์การดื่มปกติที่มีกัน คือกาแฟ หลอดและกระดาษทิชชู แต่ร้านนี้กลับมีห่อสี่เหลี่ยมสีชมพูขนาดไม่ใหญ่มากมาให้ด้วยหนึ่งอันทำเอางงพอสมควร แต่ความงุนงงก็พลันมลายหายเป็นรอยยิ้มมุมปากทันทีที่แกะห่อปริศนานั่นออกเพราะมันคือ.....


"ช็อคโกแลตชิ้นงามขนาดพอคำ" นั่นเองครับ!



       เนื่องจากผมเพิ่งเคยมาทานกาแฟร้าน coffeol นี้เป็นครั้งแรกและก็ไม่เคยไปทานที่สาขาอื่นด้วยจึงไม่ทราบว่าการให้ช็อคโกแลตแถมมากับกาแฟแบบนี้มีทุกร้าน ทุกสาขาหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามหากมีทุกสาขาก็ถือได้ว่าเป็นการปฏิบัติต่อลูกค้าให้ลูกค้าได้จดจำร้าน coffeol ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าช็อคโกแลตที่ให้มาชิ้นจะไม่ใหญ่มากเท่าไหร่แต่ก็ทำให้ได้ใจลูกค้าที่มาใช้บริการได้อีกมากโขและหากแม้ว่าการให้ช็อคโลแลตแถมมาจะเป็นการโปรโมทสินค้าของทางร้าน (เพราะทางร้านเองก็มีขนมหวานขายด้วย) ก็ยังถือว่าเป็นการทำโปรโมชั่นที่กล้าลงทุนเพราะต้นทุนช็อคโกแลตชิ้นหนึ่งๆ ก็หลายบาทอยู่ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดผมกลับพบว่ามันเป็นช็อคโกแลตที่ทรงคุณค่าและมีอิทธิพล (ต่อจิตใจ) คนกินมากเลยเชียว



       ย้อนกลับมาถึง Ice Latte ที่สั่งกันบ้างครับ ตอนแรกที่กาแฟมาจะเห็นได้ว่ามีการแบ่งเป็นชั้นๆ 3 ชั้นอย่างชัดเจน โดยชั้นบนเป็นฟองนม ตรงกลางเป็นเนื้อกาแฟและส่วนท้ายเป็นนมสีขาวๆ ทำให้ประหลาดใจนิดๆว่าจะใช่ Ice Latte หรือไม่หรือ barista ทำผิดเป็น Ice Cappunccino (ที่ไม่มีในโลกกาแฟ @^_^@) ) หรือเปล่า แต่เมื่อลองคนให้เข้ากันดังภาพแล้วปรากฎว่ารสชาติเป็น Latte จริงๆ ครับ แถมยังได้รสชาติตามที่สั่งทุกประการอีกด้วย ทำเอากาแฟมื้อนี้เป็นกาแฟอีกมื้อหนึ่งที่เติมเต็มอารมณ์ระหว่างวันของผมได้อย่างสมบูรณ์ ลงตัวเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าราคาของอาหารและกาแฟที่นี่จะเป็นราคาระดับค่อนข้างไปทาง hi end แต่ก็ไม่ได้แพงมากเท่าร้านกาแฟเงือกเขียวครับ เครื่องดื่มตกแล้วราคาก็ยังไม่ถึงร้อยอยู่ดี เราๆท่านๆ มีโอกาสดื่มด่ำกันได้ครับ และเมื่อเทียบกับคุณภาพและการให้บริการของร้านที่ผู้บริโภคได้รับแล้วผมกล้าการันตีเลยว่า "คุ้ม" แน่นอนครับ

       สำหรับใครที่อยากลิ้มลองกาแฟของร้าน coffeol ก็ไปลองชิมกันได้นะครับที่ชั้น 6 เซ็นทรัลบางนาและเห็นว่ามีสาขาอื่นด้วย ส่วนใครอยากทราบรายละเอียดหรือ story ของทางร้านก็ลองเข้าไปดูกันได้ครับที่ http://www.coffeol.com หรือทางfacebook ก็ที่ http://www.facebook.com/CoffeolThailand ครับ ซึ่งจะได้เห็นภาพบรรยากาศของร้านในมุมมองที่ชัดขึ้น เนื่องจากว่าการรีวิวนี้เป็นการรีวิวแบบส่วนตัวเงียบๆ ไม่ได้บอกใคร ภาพที่ได้มาจึงไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ครับ


                                                                                                                          กาลาโต้
วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555 | By: กาลาโต้

Blend Storming : WIFI-WI FREE มีแล้วดี.....จริงหรือ?

        ช่วงนี้ได้มีโอกาสดู commercial ads ตัวหนึ่งของทางค่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือสีเขียวที่ออกอากาศมาได้เกือบเดือนแล้ว เป็นโฆษณาที่สื่อให้เห็นถึงความแรงของสัญญาณโทรศัพท์ ทั้งเครือข่ายและ 3 G โดยทำเป็นตอนสั้นๆ หลายตอน แต่ตอนหนึ่งที่ผมให้ความสนใจก็คือตอนที่ presenter กล่าวว่าทำงานเป็น freelance จึงต้องทำงานอยู่ในร้านกาแฟบ่อยๆ ดังนั้นจึงต้องใช้เครือข่ายที่สมบูรณ์แรงและเร็ว และนั่นเองจุดประกายให้เป็นที่มาของเรื่องในตอนนี้ครับ



       หากย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนสมัยที่การโทรคมนาคมไร้สายในบ้านเรายังไม่เจริญ ไม่มี 3 G หรือ WIFI ใช้เป็นล่ำเป็นสันอย่างทุกวันนี้ เวลาเราไปที่ร้านกาแฟจะเห็นคนพก notebook เสียบ air card นั่งจิบกาแฟเล่นอินเตอร์เน็ตกันอย่างดาษดื่นจนเกิดเป็นวัฒนธรรมที่ฮิตมากในขณะนั้นถึงขนาดที่ว่าหากใครเล่น notebook จิบกาแฟ จะดูดีมีชาติสกุล เท่ห์มากเลยทีเดียว แต่ในตอนนั้นก็เกิดปัญหาให้กับร้านกาแฟร้านใหญ่ๆ ด้วยเช่นกันนั่นก็คือลูกค้าเหล่านี้มักจะพยายามถามหาปลั๊กเสียบเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ notebook โดยบางคนที่เขาใช้งานจริงก็มี แต่ส่วนใหญ่ (ตอนนั้น) มักนั่งแช่เป็น 3-4 ชั่วโมงเอาเท่ห์เสียมากกว่าทั้งๆที่สั่งกาแฟเพียงแก้วเดียวเท่านั้น เรื่องค่าเน็ต air card คงไม่มีปัญหาเพราะเจ้าของเป็นคนจ่ายค่า airtime เองแต่ค่าไฟนี่สิผู้รับผิดชอบกลับต้องเป็นร้านกาแฟ ซึ่งตอนนั้นจัดว่าเป็นปัญหาระดับต้นๆ ของทางร้านกาแฟเลยทีเดียว ถ้าร้านไหนไม่มีปลั๊กเสียบชาร์จไฟ ลูกค้าก็จะไม่ค่อยนั่ง ไปนั่งร้านอื่นที่มีปลั๊กเสียบดีกว่าเพราะถือว่าราคากาแฟก็ไม่ต่างกัน (ซึ่งนั่นเป็นมุมมองของผู้บริโภค) แต่ถ้าจะมีให้บริการปลั๊กเสียบแล้วภาระก็จะตกอยู่ทางร้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยทันที ทั้งค่าไฟที่ต้องเพิ่มขึ้นแถมอาจเสียโอกาสทางการขายเพราะลูกค้านั่งแช่ (ซึ่งเป็นมุมมองของเจ้าของร้าน) หลังจากฟันฝ่าลองผิดลองถูกกันมานานในที่สุดก็ได้ข้อยุติที่ลงตัวคือบางร้านอนุญาตให้นำปลั๊กมาเสียบ notebook ได้แต่ขอคิดค่าไฟ 20 บาท/ครั้งจะเล่นตั้งแต่เช้าร้านเปิดจนร้านปิดก็ไม่มีใครว่า ถือว่าถัวๆ กันไป  win win กันทั้ง2 ฝ่าย แต่ในขณะที่ร้านกาแฟร้านใหญ่ๆ หรือร้านที่ยังใจดีกับลูกค้าก็ยังคงมีอยู่ยอมแบกรับค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ นี้ไว้เพื่อแลกกับความเป็นขาประจำของลูกค้านั่นเอง



       มายุคปัจจุบันเมื่อมีการพัฒนาการสื่อสารให้ดีขึ้นดูเหมือนว่า trend WIFI มีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น WIFI ตามที่สาธารณะ ตามห้าง ร้านอาหาร และสุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นร้านกาแฟนั่นเอง หลายคนบอกว่า WIFI ช่วยให้การทำงานสะดวกขึ้น ไม่ว่าการรับส่งอีเมล์ การอ่านข้อความประกาศต่างๆ ที่ทางองค์กรส่งมาให้  แต่ที่ฮอตฮิตมากกว่าใครๆ คือการช่วยให้เราติดตามข่าวสาร post ภาพ  check in หรือ ทวีตข้อความผ่าน social network อย่าง facebook foursquare twitter ได้อย่างรวดเร็วทันท่วงที ต่อไปนี้เวลาเราจะกิน cake สักชิ้น ถ่ายรูปแชะ upload รูปผ่าน WIFI  ก็ไปปรากฎอยู่บนโลก cyber ได้ทันที ไวกว่าต้มมาม่าเสียอีกและ WIFI นี่เองก็เป็นเหตุที่ทำให้บรรดาร้านกาแฟต้องมีการปรับตัวกันอีกครั้งหนึ่งเหมือนเมื่อหลายปีมาแล้ว.....



       พฤติกรรมผู้บริโภคกาแฟเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้างจากเดิมที่มองหาร้านกาแฟอร่อยๆ มีลูกค้าบางส่วนเริ่มที่จะมองหามูลค่าเพิ่มจากร้านกาแฟซึ่งถือกันว่าเป็นผลพลอยได้อาทิเช่น ร้านนี้มีห้องน้ำหรือไม่ หรือร้านนี้มีของว่าเสริฟคู่กาแฟหรือเปล่า และที่สำคัญก็คือร้านที่จะไปนั่งนั้น "มี "WIFI" ไหม?
       สังเกตได้ว่าร้านไหนที่ให้บริการ WIFI ร้านนั้นดูเหมือนลูกค้าจะเพิ่มมากขึ้นแต่ก็ไม่แน่ใจว่ายอดขายจะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยหรือไม่เพราะบางคนก็มาเพื่อเล่น WIFI นั่งแช่หลายๆ ชั่วโมงก็มี แต่ก็เกิดกระแสนิยมและสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับคนทั่วไปคิดว่า ร้านไหนที่มี WIFI ร้านนั้นต้องเป็นร้านกาแฟที่อร่อยได้มาตรฐานแน่นอน ทั้งๆ ที่บางครั้งตัวเองไม่ได้ใช้ WIFI เลยก็ตาม นี่เองเป็นสาเหตุให้บรรดาร้านกาแฟน้อยใหญ่เริ่มหา WIFI มาบริการในร้านของตัวเองบ้างเพื่อเรียกลูกค้าและกระตุ้นยอดขาย
       หากเป็นผู้ประกอบการวัยรุ่น ประเภท Gen X, Gen Y ก็คงไม่ค่อยมีผลอะไรเท่าไหร่เพราะปกติก็ใช้คอมพิวเตอร์หรือ notebook เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การติดตั้ง WIFI ในร้านก็เปรียบเสมือนว่าติดตั้งไว้เล่นเอง มีแชร์ให้ลูกค้ามาเล่นบ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไรถือเป็นการบริการลูกค้า แต่ถ้าเป็นร้านกาแฟที่เจ้าของไม่ถนัดเรื่องเทคโนโลยีแล้วการนำ WIFI มาให้บริการในร้านย่อมหมายถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และ WIFI ก็ไม่ได้เป็นเครื่องมือการันตียอดขายว่าจะเพิ่มขึ้นหรือไม่อีกด้วย
      



       สำหรับ WIFI ในร้านกาแฟบ้านเรานี้พอจะจำแนกได้เป็น 3 แบบใหญ่ๆ คือ
      
        1.WIFI Free ไม่มีเงื่อนไข WIFI ประเภทนี้จะเป็นประเภทเปิด Opern ไม่มีการตั้งรหัสใดๆ ไว้ ใครที่จับเจอสัญญาณก็สามารถ Log in เข้ามาใช้งานได้เลย ซึ่งมีข้อดีสำหรับลูกค้าคือใช้งานง่าย เข้าปุ๊บใช้ได้เลยไม่ต้องมีพิธีรีตองแต่ข้อเสียคือคนนอกที่จับสัญญาณได้ก็สามารถเข้ามาใช้งานได้และถ้ามีคนใช้งานมากๆ อาจทำให้สัญญาณความเร็วช้าตามไปด้วย ส่วนเจ้าของร้านเองก็คงต้องเสี่ยงกับการที่คนจับสัญญาณ WIFI ร้านเล่นฟรีแต่ไม่ซื้อสินค้า

       2.WIFI Free แต่มีเงื่อนไข WIFI ประเภทนี้ดูเหมือนจะเป็นการแก้ปัญหาที่ Win Win ทั้งเจ้าของร้านและผู้ใช้บริการ กล่าวคือร้านมี WIFI ใ้ห้ลูกค้าใช้งานแต่ลูกค้าต้องใช้บริการในร้านก่อนจึงสามารถขอรหัสใช้บริการ WIFI ได้ ซึ่งประเภทนี้เราจะเห็นเริ่มมีเยอะขึ้น WIFI ของร้านก็ได้ให้บริการเฉพาะลูกค้าที่ใช้บริการจริงๆ ส่วนลูกค้าที่ไปใช้บริการก็คิดว่าตนเองได้สิทธิพิเศษจากการให้บริการนั้น

       3.WIFI ไม่ Free WIFI ประเภทนี้มักจะพบได้ตามร้านกาแฟพรีเมี่ยมใหญ่ๆ ที่เป็น franchise โดยทางร้านจะมีการทำสัญญากับทาง operator ผู้ให้บริการ WIFI มาติดตั้งสัญญาณและแบ่งส่วนแบ่งที่ได้กับตามแต่ตกลง โดยผู้ใช้บริการในร้านไม่สามารถใช้บริการ WIFI ได้ ต้องซื้อชั่วโมง WIFI ก่อนจึงจะใช้ได้ โดยปัจจุบันก็มีลูกค้าเริ่มเรียกร้องให้ร้านกาแฟเหล่านั้นปล่อยให้บริการ WIFI ฟรีบ้างแล้วแต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ

       บทสรุปสำหรับบทความในตอนนี้ไม่ได้ชี้เจาะจงลงไปว่าการมี WIFI ในร้านกาแฟนั้นดีหรือไม่ดี เพราะสามารถมองได้หลายมุมทั้งในแง่ของผู้ประกอบการร้านกาแฟและผู้ใช้บริการร้านกาแฟ เพียงแต่ว่าการจะนำ WIFI เข้ามาในร้านนั้นทางผู้ประกอบการต้องใคร่ครวญและคำนึงถึงผลที่จะได้รับก่อนการตัดสินใจเพราะถ้าเราเร่งรีบนำเข้ามาใช้แล้วไม่ work จึงยกเลิกภายหลังจะทำให้ภาพลักษณ์ของร้านดูไม่ดีนัก ส่วนตัวผู้บริโภคเองก็เช่นกันควรคำนึงว่าการที่ร้านให้บริการ WIFI นั้นเพื่อเป็นการเพิ่มความสะดวกในการทำงานให้กับลูกค้าเช่นต้องเช็คเมล์ด่วนหรือตอบเมล์ด่วน ดังนั้นก็ควรที่จะพอดีๆ ใช้งานเสร็จก็เปิดทางให้คนอื่นได้ใช้บ้าง ผมเคยเห็นบางคนเข้าร้านมายังไม่ทันสั่งกาแฟเลยถามหา password WIFI เพื่อเข้าโหลดเกมส์ โหลด apps แล้ว เอาเป็นว่าช่วยๆ กันเถอะครับ ถ้าร้านเค้าอยู่ได้คุณเองก็อยู่ไ้ด้เช่นกัน อีกอย่างอย่าลืมนะครับว่าที่เรามาร้านกาแฟจุดประสงค์หลักของเราคืิอเพลิดเพลินกับการดื่มกาแฟถ้าเราตั้งใจมาเพื่อเล่น WIFI แล้วล่ะก็กาแฟแก้วนั้นจะมีความหมายอย่างไร....สวัสดีครับ

                                                                                    
                                                                                                                     กาลาโต้
วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2555 | By: กาลาโต้

Cupping Street : Double t Coffee บรรยากาศที่เคียงคู่รสชาติอันอภิรมย์



       แรกเริ่มเดิมทีตั้งใจไว้ว่าจะเขียน review ร้านกาแฟเพลินวานที่ตั้งอยู่ใน Mansion 7 สักหน่อย แต่ด้วยสาเหตุที่ทาง mansion 7 ปิดปรับปรุงครั้งใหญ่ จึงทำให้ต้องเปลี่ยนแผนโดยกระทันหัน นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานีสามย่านลัดเลาะเข้าจามจุรีสแควร์เพื่อมากินกาแฟที่ร้าน "Double t Coffee" แทน



       ร้าน Double t Coffee ร้านนี้ถือเป็นร้านกาแฟร้านโปรดอีกร้านหนึ่งของผมที่เมื่อมีโอกาสมาจามจุรีสแควร์ครั้งใดต้องหาโอกาสไปนั่งจิบกาแฟให้ได้ทั้งๆ ที่รอบบริเวณจตุรัสแห่งนี้มีร้านกาแฟระดับพรีเมี่ยมชั้นนำมากมายหลายเจ้าตั้งตระหง่านดักลูกค้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟเงือกเขียว ร้านกาแฟ Hi Speed โลโกแดง ร้านกาแฟรักป่า ฯลฯ แต่ผมก็ยังชมชอบร้านนี้อยู่ดี ก็เพราะว่าบรรยากาศของร้านนี้เป็นแบบชิลๆ open ไม่ต้องแออัดเบียดเสียดแย่งกันนั่งแถมรสชาติกาแฟก็ไม่ด้อยไปกว่าร้านชั้นนำดังกล่าวแต่อย่างใด





       ร้าน Double t Coffee เป็นร้าน stand alone แบบเปิดโล่งตั้งอยู่ด้านนอกบริเวณชั้น 3 ของจามจุรีสแควร์ติดกับบันไดเลื่อนทางลง ขนาบข้างด้วยร้าน "สมใจ" และ ร้าน "สวนหัตถศิลป์" โดยพื้นที่หลักจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนหน้าเป็น Counter Bar ขนาดใหญ่เพื่อรับออเดอร์จากลูกค้าและเมื่อเราเดินอ้อมไปด้านหลังจะพบกับส่วนที่ 2 ที่เป็นพื้นที่ๆจัดทำเพื่อให้ลูกค้านั่งดื่มกาแฟภายในร้านมีขนาดจุคนได้ประมาณ 15 คน ถือเป็นการจัดสรรพื้นที่ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว และด้วยทัศนียภาพของร้านแบบเปิดโล่งบวกกับการตกแต่งร้านที่มีสไตล์หรูเรียบง่ายเป็นลักษณะเฉพาะของตัวเองนี่เองจึงทำให้ใครที่ผ่านไปผ่านมาต่างต้องเหลียวมองกันแทบทุกคนรวมถึงอีกหลายคนที่อดไม่ได้ที่จะแวะเข้าไปลิ้มลอง



       นอกเหนือไปจากสไตล์การตกแต่งร้านแล้วจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คนมาใช้บริการที่ร้านกันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการกลับมาซื้อซ้ำอีกด้วย นั่นก็คือรายการเมนูที่มีความหลากหลาย ที่ร้านมีเครื่องดื่มและอาหารว่างให้เลือกรวมกันไม่ต่ำกว่า 30 ชนิด โดยจะมีรูปของเมนูแต่ละชนิดติดอยู่บนผนังหลัง counter เพื่อให้ลูกค้าได้ดูประกอบการตัดสินใจ และสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ "รสชาติของกาแฟ" ที่เมื่อได้ลิ้มลองแล้วจะรู้ได้เลยว่าเทียบเคียงได้กับร้านกาแฟใหญ่ๆ ได้ไม่อายใคร แถมเครื่องดื่มบางชนิดยังอร่อยกว่าร้านดังกล่าวเสียด้วยซ้ำ ส่วนใครที่เพิ่งจะมาร้านนี้ครั้งแรกแล้วไม่รู้ว่าจะสั่งเครื่องดื่มอะไร ผมขอแนะนำ "Ice Latte" ครับ เพราะ Latte ของที่นี่อร่อยมาก รสชาตินี่หากเราปิดตาชิมรับรองว่าแยกไม่ออกเลยครับว่าแก้วไหนของร้าน Double t Coffee แก้วไหนของร้านเงือกเขียว ราวกับว่าสูตรเดียวกันมา "เป๊ะ" เลยครับแถมสนนราคายังถูกกว่ากันครึ่งต่อครึ่งเสียด้วย จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Ice Latte จึงเป็นเมนูยอดฮิตเมนูหนึ่งของทางร้าน



       อีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวสำหรับร้าน Double t Coffee และอดไม่ได้ที่จะต้องยกขึ้นมาอ่านดูทุกครั้งนั่นก็คือวลีประโยคที่สกรีนอยู่บนแก้ว แม้จะเป็นข้อความเดิมๆ ทุกครั้งที่ยกขึ้นมาอ่านแต่กลับไม่เบื่อเลยนั่นก็คือประโยคที่ว่า

"DID YOU KNOW THAT
MOST OF THE TIME
WE FEEL HUNGRY
WE ARE ACTUALLY
THIRSTY"


       ดูเป็นสัจจธรรมยังไงไม่รู้นะครับ แต่ผมกลับชอบจริงๆ เลยทีเดียว! อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจบนแก้วนอกจากประโยคดังกล่าวแล้วยังมีการคิดเล่นคำให้ผู้อ่านได้คิดกันและน่าจะสื่อถึงความเป็น creative ของผู้คิดก็คือ การเลือกที่จะใช้สีดำถมลงไปตรงตัวอักษร 3 ตัวท้ายของคำว่า TREAT ทำให้เกิดคำใหม่ขึ้นมาอ่านว่า "EAT" ซึ่งสอดคล้องกันนะครับสำหรับคำว่า TREAT กับ EAT ของร้านนี้ เพราะร้านที่ให้บริการเกี่ยวกับอาหารหรือเครื่องดื่มแล้ว การ TREAT หรือการปฏิบัติต่อลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญเลยทีเดียว


       หากใครอยู่แถวสามย่านหรือมีโอกาสผ่านไปแถวจามจุรีสแควร์และมีโอกาสก็อยากให้มาลองชิืมกาแฟที่ร้าน Double t Coffee กันดู แล้วชีวิตอันรื่นรมย์ของการดื่มกาแฟของคุณจะมีความสุขเพิ่มเป็นเท่าตัว เชื่อผมเถอะ!

                                                                                                                          กาลาโต้


       ปล.ร้าน Double t Coffee ที่จามจุรีสแควร์จะมีอยู่ 2ชั้น โดยชั้นที่นำมา review นี้จะเป็นชั้น 3 มีที่นั่งดื่มกว้างขวาง ส่วนอีกที่อยู่บริเวณชั้น G เป็นรูปแบบ Kiosk เหมาะสำหรับซื้อกลับบ้านครับ
วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555 | By: กาลาโต้

Cupping Street : "เพราะเราอยากเห็นคนไทยได้ดื่มกาแฟดีๆ"



      
สวัสดีครับ วันนี้ขอนำท่านผู้อ่านทุกท่านหลบลมร้อนของเดือนมีนาคมมายังห้างสรรพสินค้าเพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศจากเดิมและเพื่อดื่มด่ำกับกาแฟรสชาติดีๆ ของร้าน BK Coffee&Bakery กันครับ

      
ร้าน BK Coffee&Bakery ที่ผมแวะมาลิ้มลองในวันนี้เป็นร้านแสตนอโลนขนาดไม่ใหญ่มากตั้งอยู่บนชั้น 2 ของห้างโลตัส สาขาปิ่นเกล้า (ตั้งอยู่ตรงห้างเมอร์รี่คิงส์ปิ่นเกล้าเดิม-ผู้เขียน) โดยเมื่อเราขึ้นบันไดเลื่อนมาจะเห็นชื่อร้านสีขาวตัดกับพื้นสีดำเด่นเป็นสง่าท้าทายให้บรรดาคอกาแฟให้เข้าไปค้นหา ลิ้มลองกัน

ถึงแม้ว่าชื่อของร้านจะไม่ค่อยคุ้นหูกันสักเท่าไหร่นักก็ตามที แต่ร้านกาแฟแห่งนี้ก็มีจุดเด่นที่บรรดานักดื่ม (กาแฟ) ตัวยงละแวกนี้ต่างทราบถึงกิตติศัพท์กันดีว่าร้านนี้เค้ามีกาแฟที่ขึ้นชื่อลือชาอยู่ชนิดหนึ่ง เรียกกันว่า "กาแฟเวียดนามวีเซล" (Vietnam Weasel) นั่นเอง

ก่อนจะไปสัมผัสกับรสชาติของเจ้ากาแฟสายพันธุ์เวียดนามที่ว่านี้ เรามาทราบกันก่อนดีกว่าครับว่าเจ้า weasel นั้นคืออะไรแล้วมันดีอย่างไร?

สาเหตุที่เราเรียกเจ้ากาแฟชนิดนี้ว่า weasel นั้นก็เพราะว่าบริเวณแถบ central highland ทางตอนกลางค่อนไปทางใต้ของประเทศเวียดนาม มีสัตว์พื้นเมืองชนิดหนึ่งเรียกกันว่าตัว weasel อาศัยอยู่ โดยมัน มีลักษณะคล้ายแมวแต่จะมีลำตัวที่ยาวกว่าหากินทั้งทางบกและในน้ำ เจ้าตัว weasel ที่ว่านี้จะกินเมล็ดกาแฟโดยมันจะดมและเลือกกินเฉพาะเมล็ดที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดและขับถ่ายเมล็ดกาแฟนั้นออกมา เมล็ดกาแฟที่ถ่ายออกมานั่นเองชาวเวียดนามเรียกกันว่าเมล็ดกาแฟ weasel นำมาผลิตเป็นกาแฟ weasel ที่มีรสชาติดีให้เราได้ดื่มกัน

เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วเชื่อว่าทุกคนคงจะคุ้นๆกับเรื่องที่เพิ่งเล่าให้ฟังจบไปนี้ ว่าพฤติกรรมที่เจ้าตัว weasel ดังกล่าวนี้กระทำต่อเมล็ดกาแฟนั้นเหมือนกับเจ้ากาแฟขี้ชะมดเลย ซึ่งก็ไม่ผิดครับ เพราะในความเป็นจริงแล้วมันก็คือกาแฟขี้ชะมดอีกรูปแบบหนึ่งนั่นเองครับ

      
เรื่องกาแฟ weasel ของเวียดนามนี้ได้เคยมีโอกาสถามพี่ท่านหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ที่กาแฟดอยช้างว่ามันแตกต่างหรือเหมือนกันกับกาแฟขี้ชะมดที่เรารู้จักกันที่มีสนนราคากิโลกรัมละเป็นหมื่นๆบาทตรงไหน อย่างไร  ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็คือเจ้ากาแฟ weasel ของเวียดนามนั้นเป็นกาแฟขี้ชะมดที่เมล็ดพันธุ์กาแฟเป็นสายพันธุ์โรบัสต้า แต่ในขณะที่กาแฟขี้ชะมดชั้นนำที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันรวมถึงของดอยช้างเองจะเป็นเมล็ดพันธุ์อาราบิก้า แต่ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดสายพันธุ์ไหนก็ตามทั้งเจ้ากาแฟขี้ชะมดอาราบิก้าและกาแฟขี้ชะมด weasel นี้ล้วนแต่มีรสชาติที่กลมกล่อมและดีกว่ากาแฟทั่วไปทั้งสิ้น รวมไปถึงสนนราคาที่สูงกว่ากาแฟทั่วไปอยุ่หลายเท่าตัว เป็นอย่างไรกันบ้างครับ เคลียร์กับคำตอบกันหรือยังครับ

วกกลับมายังกาแฟ weasel ของร้าน BK  Coffee & Bakery กันต่อครับ ระหว่างที่ผมสั่งกาแฟเวียดนามวีเซลเย็น ซึ่งเป็นเมนูแนะนำและเป็นเมนูเด็ดของร้านก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับเจ้าของร้านถึงเรื่องกาแฟวีเซลนี้ว่าถึงแม้จะเป็นกาแฟวีเซลสายพันธุ์รองก็ตามแต่ราคาต่อกิโลกรัมก็สูงกว่ากาแฟทั่วไปอยู่หลายเท่าตัวทำไมถึงนำมาขายในราคากาแฟทั่วไป ไม่กลัวขาดทุนหรือย่างไร ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็คือว่าพอมีกำไรให้ร้านพออยู่ได้บ้างแต่ไม่ถึงกับกำไรมากมายเหมือนกาแฟพรีเมี่ยมทั่วไปแต่ที่สำคัญที่สุดคืออยากเห็นคนไทยได้ดื่มกาแฟดีๆ มากกว่า

      
ราคาที่เราขายปัจจุบันนี้ถือว่าพอมีกำไร ไม่ขาดทุนแต่ถ้าเทียบกับกาแฟพรีเมี่ยมที่ขายกันทั่วไปแล้วเราจะกำไรน้อยกว่าเพราะต้นทุนเมล็ดกาแฟของเรานั้นสูงกว่า แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรขอแค่ไม่ขาดทุนก็พอ เพราะใจจริงแล้วที่ตั้งใจใช้เมล็ดกาแฟชนิดนี้เพราะเราอยากให้คนไทยได้ลองดื่มกาแฟดีๆ ในราคาที่ไม่แพงมากกันบ้าง ซึ่งคนทานกาแฟนั้นจะเหมือนกันทุกคนคือพอได้ยินว่ากาแฟอะไรที่อร่อยหรือน่ากินก็อยากจะหามาลองดื่มกันบ้างแต่บางทีด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่างเช่น ราคาหรือระยะทางการขนส่ง การนำเข้าจึงทำให้คนไทยน้อยคนจะได้มีโอกาสได้กินกาแฟเหล่านั้น แม้กาแฟวีเซลของเราอาจจะเทียบเท่ากับกาแฟขี้ชะมดที่ราคาหลายๆหมื่นไม่ได้แต่อย่างน้อยรสชาติของมันก็ไม่ด้อยกว่ากาแฟชนิดอื่นๆ ถือว่าลองกาแฟขี้ชะมดระดับต้นๆ ไปก่อนพอเรามีเงิน มีโอกาสค่อยหากาแฟขี้ชะมดระดับสูงมาทาน


นี่แหละครับเป็นความตั้งใจของเจ้าของร้านกาแฟที่มีต่ออาชีพที่ตนรักและส่งผ่านถึงคอกาแฟทุกคน ซึ่งเมื่อได้ทดลองดื่มเจ้ากาแฟเวียดนามวีเซลเย็นแล้วบอกได้เลยครับว่ารสชาติดีถึงดีมากเลยทีเดียว ความขมอันเป็นเอกลักษณ์ของกาแฟขี้ชะมดสายพันธุ์โรบัสต้าผสมผสานเข้ากับกลิ่นหอมหวานของกลิ่นผลไม้ได้อย่างลงตัว เวลาจิบอึกแรกแล้วอมไว้ในปากจะรู้สึกได้ถึงรสชาติอันกลมกล่อมเป็นลักษณะเฉพาะที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่ในกาแฟราคาแก้วละ 60 บาทอย่างเวียดนามวีเซลครับ ซึ่งหากใครอยากลองกินกาแฟขี้ชะมดในราคาที่ไม่แพงมากสักครั้งหนึ่งผมขอแนะนำให้มาที่นี่ครับ รับรองว่าจะต้องติดใจเจ้ากาแฟเวียดนามวีเซลนี้อย่างแน่นอน แถมยังสั่งตามต้องการได้อีกด้วยว่าจะเอาเข้ม เอาหวานเท่าไหร่อย่างไร คนขายและบาริสต้าของร้านนี้เค้ายินดีทำให้ด้วยความเต็มใจครับ

ผมเคยท่องเน็ตและได้พบประโยคๆหนึ่งที่คอกาแฟท่านหนึ่งโพสต์ตอบคำถามที่ถามว่ากาแฟอะไรที่อร่อยหรือรสชาติดีที่สุดโดยเขาได้ตอบไว้ว่า “กาแฟที่ดีหรือกาแฟที่อร่อยที่สุดนั้นก็คือกาแฟที่กินแล้วทำให้เรารู้สึกมีความสุขนั่นเอง” ผมเชื่อแล้วครับว่าประโยคดังกล่าวนั้นเป็นความจริงและครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้ลิ้มลองกาแฟที่อร่อยที่สุดที่กลั่นออกมาจากใจของคนขายส่งตรงถึงคนกินครับ…….....สวัสดี

                                                                                                                            กาลาโต้
วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555 | By: กาลาโต้

The Bookmark : และแล้วกาแฟก็โลดแล่นบนเส้นทางการ์ตูน



        ถ้าใครที่เป็นคนชอบอ่านการ์ตูนแล้วนั้นการ์ตูนที่อ่านกันส่วนใหญ่อันดับต้นๆคงหนีไม่พ้นการ์ตูนประเภท adventure fantasy ต่อสู้ปล่อยแสงฆ่าฟันกันอย่างบ้าระห่ำเช่น เซนต์เซย่า, ดราก้อนบอล, โรงเรียนลูกผู้ชาย (ซึ่งผมเองก็ติดการ์ตูนประเภทนี้งอมแงมด้วยเช่นกัน @^_^@) และการ์ตูนที่ได้รับความนิยมรองถัดลงมาก็คงหนีไม่พ้นการ์ตูนประเภทต่อสู้กันด้วยกลยุทธวิธีทำกับข้าวบ้าง แข่งทำอาหารบ้าง ซึ่งก็มีให้เลือกอ่านเยอะแยะและก็ได้รับความนิยมไม่แพ้ไปกว่าการ์ตูนต่อสู้เสียด้วยสิ ไม่ว่าจะเป็นไอ้หนุ่มราเม็ง ไอ้หนูซูชิ จอมโหดกะทะเหล็ก ฯลฯ เหล่านี้เชื่อได้ว่าคงผ่านตาคอการ์ตูนอย่างเราๆ ท่านๆ กันมาแล้วทั้งสิ้น แปลกนะครับที่การ์ตูนทำอาหารนี่พี่ยุ่นเขาถือเ็ป็นผู้นำด้านการ์ตูนแนวนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นอาหารสัญชาติอะไรพี่เค้าจับมาเขียนเป็นการ์ตูนญี่ปุ่นได้ทั้งนั้นแถมลงตัวเสียด้วยสิสมเป็นเจ้าการ์ตูนจริงๆ  และในวันนี้ก็ถึงคิวที่คนญี่ปุ่นเขาจับเอาบุคคลที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์กาแฟ มาร้อยเรียงเรื่องราวโลดแล่นบนลายเส้นน้ำหมึกกันบ้างแล้วในชื่อว่า "Barista"

        การ์ตูนเรื่อง Barista เป็นการ์ตูนที่นำเสนอเรื่องราวของ "โคกิ" ตัวเอกของเรื่องที่มีอาชีพเป็น barista อยู่ในร้านกาแฟเล็กๆแห่งหนึ่งในกรุงโรม แต่แล้ววันหนึ่งมีคนของร้านกาแฟมาตฐานขนาดใหญ่ได้มาทาบทามให้โคกิไปเป็น barista ให้กับร้านสาขาที่ประเทศญี่ปุ่นอันเป็นบ้านเกิดของโคกิเอง แต่เรื่องราวการเป็น barista ในร้านชั้นนำของโคกิที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นคงไม่ง่ายทีเดียวนัก เพราะต้องผ่านอุปสรรคและเรื่องราวนานับประการกว่าจะได้ก้าวขึ้นสู่ฐานะ barista ชั้นยอดได้ โดยการ์ตูนเรื่องนี้เป็นผลงานร่วมของ Kumi Muronaga และ Rei Hanagata ซึ่งผู้สนใจก็ลองหาอ่านกันได้นะครับที่แผงขายการ์ตูนใกล้บ้านเพราะเพิ่งวางจำหน่ายเล่มแรกครับ

       หลังจากที่อ่านเล่มแรกจบ (เพราะมันออกแค่เล่มเดียวในตอนนี้ ฮา ฮา) ผมเชื่อว่าการ์ตูนเรื่องนี้น่าจะเป็นหนังสือการ์ตูนอีกเล่มหนึ่งที่คอกาแฟอย่างเราจะติดตามอ่านกันอย่างงอมแงมเพราะในอดีตเรื่องราวของอาชีพคนทำกาแฟนั้นไม่ค่อยมีออกมาผ่านสื่อความบันเทิงต่างๆ มากนัก อีกทั้งเรื่องราวในการ์ตูนก็มีเนื้อหาชวนติดตาม ผู้วาดกับผู้แต่งก็ได้มีการทำการบ้านเกี่ยวกับ barista และกาแฟมาเป็นอย่างดีทำให้การ์ตูนมีลักษณะข้อมูลที่เรียกได้ว่าน่าเชื่อถือ ตั้งอยู่ในพื้นฐานของความเป็นจริงและมีโอกาสเป็นไปได้ อีกทั้งยังได้ความรู้ในแง่มุมใหม่ๆ ของ baristaและกาแฟควบคู่ไปกับความบันเทิงทีไ่ด้รับอีกด้วย ดังนั้นหากจะลองหาการ์ตูนเล่มนี้มาติดกระเป๋าไว้อ่านในเวลาว่างหรือในเวลาจิบกาแฟก็คงดีไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะอย่างน้อยทางสำนักพิมพ์เค้าก็ให้คำท้าทายไว้หลังปกว่า "การ์ตูนกาแฟสไตล์คลาสสิคที่ยิ่งอ่านกาแฟก็ยิ่งอร่อย" ครับ

                                                                                            
                                                                                                     กาลาโต้