วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

R.I.P. แด่ชายผู้เปลี่ยนโลกกับเรื่องราวของเขาที่เกี่ยวข้องกับกาแฟ


(เพื่ออรรถรสในการอ่านกรุณาเปิดเพลงด้านล่างนี้ก่อนอ่านเพราะเพลงนี้เป็นเพลงที่ Steve Jobs ชอบมากที่สุด)

       ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมานี้นอกเหนือจากข่าวน้ำท่วมที่กำลังวิกฤตหนักทั่วประเทศไทยแล้ว อีกข่าวหนึ่งที่โด่งดังไม่แพ้กันและทำให้คนช็อคโลกนั่นก็คือ ข่าวการเสียชวิตของ Steve Jobs บิดาผู้ให้กำเนิด Apple อันโด่งดัง
      
       ต้องขอสารภาพว่าโดยส่วนตัวไม่เคยมี device ของ Steve Jobs เลยแม้แต่ชิ้นเดียว  ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง Mac หรือแม้กระทั่งสินค้าตระกูล I ต่างๆ ที่ทยอยผลิตกันออกมาอย่างต่อเนื่องและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว อาจจะเป็นด้วยเหตุผลที่ว่า ราคา ของเจ้า device เหล่านี้มันสวนทางกันกับ ความต้องการ ของผมก็เป็นได้ ปัจจุบันที่ใช้อยู่ก็เป็นเพียง device หุ่นเขียว คู่แข่งของ Apple เท่านั้น

       ข่าวการเสียชีวิตของ Jobs มีทั้งคนเศร้าโศกเสียใจและคนที่เย้ยหยันอย่างสะใจ (แน่นอนว่าอย่างหลังนี่ต้องเป็นสาวกของฝ่ายตรงข้ามกับ apple อย่างไม่ต้องสงสัย) แต่สำหรับตัวผมเองนั้นกลับมองว่า โลกได้สูญเสีย บุคคล อัจฉริยะอีกคนของโลกไปแล้ว

"ว่ากันว่าในโลกนี้มีแอปเปิ้ล 3 ใบ ที่เปลี่ยนแปลงโลก 1 คือแอปเปิ้ลที่อดัมกับอีฟกินเข้าไป 2 แอปเปิ้ลที่หล่นใส่หัวนิวตั้น และ 3 แอปเปิ้ลที่คิดขึ้นโดย Steve jobs"

Jobs อาจจะเป็นคนเดียวในรอบศตวรรษที่เกิดมาเพื่อ Change The World”
Jobs อาจจะเป็นคนส่วนน้อยที่ Think Difference แต่การที่ Think Difference ของเขากลับสร้างสิ่งต่างๆ มากมายให้กับโลก
Jobs อาจจะบอกห้เราจงใช้ชีวิตวันนี้ราวกับว่าเป็นวันสุดท้ายแต่นั่นก็หมายความว่าเพื่อที่เราจะได้กระตือรือล้นอยู่กับปัจจุบัน
ฯลฯ
         วันนี้ได้มีโอกาสไปนั่งฟังการเสวนารำลึกถึง Steve Jobs ในงาน Great Jobs ที่จัดขึ้นที่ Central World โดยมีพิธีกรและผู้ดำเนินรายการหลายคนมาบอกเล่าถึงประสบการณ์ ทัศนคติ และเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Steve Jobs เมื่อได้ฟังก็ยิ่งทำให้เชื่อว่าผู้ชายคนนี้ เกิดมาเพื่อ Change the World” จริงๆ
        แต่อย่างไรก็ตามตามกฎแห่งพุทธศาสนาไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน แม้ Jobs จะร่ำรวย มหาศาล แม้ Jobs จะเก่งกาจมีความสามารถขนาดไหน แต่ท้ายสุดแล้ว Jobs ก็จากโลกนี้ไปภายหลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับมะเร็งตับอ่อนมาหลายปีด้วยวัย 56 ปี คงเหลือแต่ตำนาน แนวคิดอันอัจฉริยะที่เปลี่ยนโลกของเค้าให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและกล่าวขานต่อไปอีกนานนับทศวรรษหรือบางทีอาจจะเป็นศตวรรษ

Rest In Peace Steve Job, You are always be idol for people all over the world”
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


       กลับมาถึงหลายๆเรื่องของ Steve Jobs ที่เกี่ยวข้องกับแวดวงกาแฟกันบ้าง จริงอยู่ว่าเรื่องเหล่านี้อาจจะไม่ค่อยสำคัญหรือเกี่ยวข้องกับแวดวงกาแฟสักเท่าไหร่แต่ก็ถือเป็น gimmick ที่เกี่ยวข้องกับกาแฟได้บ้างโดยจะยกตัวอย่างมาพอเท่าที่หาได้ครับ
       เรื่องแรกที่เป็นข่าวฮือฮากันเมื่อปีที่แล้วก็คือมีภาพหลุดตอนที่ Steve Jobs นั่งดื่มกาแฟกับคู่แข่งตลอดกาลอย่าง Eric Schmidt เจ้าของ google โดยคนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่าทั้งสองได้คุยกันถึงเรื่องงานและผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ เล่นเอาตอนนั้นสาวกทั้ง 2 ค่ายต่างอึ้งกิมกี่กันว่าเหตุใดทั้งสองคนจึงนั่งคุยถูกคอกันทั้งที่ในแวดวงธุรกิจแล้วทั้งคู่ต่างเป็นคู่แข่งขันกัน

       เรื่องต่อมาใครจะรู้บ้างว่า Jobs เป็นพวกชอบก่อกวนทางโทรศัพท์ (pranksters) ตัวยง! โดยเมื่อตอนนำเสนอ iPhone ต่อ Macworld ในปี 2007 นั้นเขาได้โทรไปหา Starbucks และสั่งกาแฟลาเต้ 4,000 แก้ว ทำให้เป็นที่ตกตะลึงในความตลกร้ายของเขาเลยทีเดียว

       ส่วนเรื่องต่อมาเป็นข่าวลวงแต่ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการไอทีได้ไม่น้อยเหมือนกันและคราวนี้ฉากในสถานการณ์ก็คือร้าน Starbucks นั่นเอง ข่าวดังกล่าวรายงานว่าเมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา Steve Jobs CEO ของ Apple ได้ไปกินกาแฟที่ร้าน Starbucks และได้ใช้กระดาษทิชชู่ของร้าน Starbucks เป็นที่จดเป้าหมายที่จะทำให้ได้ในปี 2011 ของเขาเอง ซึ่งแปลเป็นไทยได้ประมาณนี้

·         1. ทำให้ Verizon iPhone เป็นตำนานต่อไป

·         2. โทรศัพท์ไปป่วน Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook

·         3. จดสิทธิบัตร คำว่า "Steve" ไว้เพียงผู้เดียว และก็ฟ้อง Ballmer CEO ของ Microsoft เลย ดันมาใช้ Steve เหมือนกัน

·         4. ฟ้อง Schiller ถ้าเกิดเขา FaceTime มาอีกในขณะที่ Jobs โป๊

·         5. ปฏิเสธ apps ที่ส่งเข้ามาบน App Store เพิ่มขึ้น เพื่อความสะใจ

·         6. เปลี่ยนเบอร์มือถือใหม่ และไม่ให้ Steve Woz รู้โดยเด็ดขาด

·         7. ติดสินบน Walt Mossberg แห่งเว็บ All thing D เพิ่มขึ้น 2 เท่า

·         8. ไล่ใครสักคน ในวันเกิดของเขา

·         9. เปลี่ยนไปใช้ iPhone 4 เมื่อแก้ปัญหาสัญญาณหายได้แล้ว

·         10. ปิดเว็บไซต์ Scoopertino ซะ ดันมาลงข่าว Steve Jobs ได้

       ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวบางส่วนของชายผู้เปลี่ยนโลกใบนี้ หากใครต้องการที่จะรู้เรื่องราว แนวคิดการทำงานของเขาให้ลึกลงไปและมากกว่านี้ลองไปหาตามร้านหนังสือดูนะครับมีหนังสือหลายเล่มเลยทีเดียวที่เขียนเกี่ยวกับ Jobs และมีเนื้อหาดีเสียด้วย แต่ขอแนะนำว่าเมื่ออ่านแล้วให้นำสิ่งทีได้ไปปฏิบัตินะครับอย่ามัวแต่ฝันลมๆแล้งๆว่าอ่านจบจะต้องได้เป็น Steve Jobs คนที่ 2 เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้วในโลกนี้คงไม่มีคำว่า อัจฉริยะ ปรากฎขึ้นในพจนานุกรมหรอกครับ แม้กระทั่งตัว Jobs เองก็ยังกล่าวไว้เลยว่า To Achieve the growth and success of your comparison market, you must copy its path, not its destination สวัสดีครับ
                                                                                          
                                                                                         กาลาโต้


John Lennon@IMAGINE music box by gonmat91
วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

Cupping Street : "เข้าแฝ่" ร้านกาแฟ Retro ร่วมสมัยแบบไทยโบราณ



       สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ห่างหายกันไปเดือนกว่าไม่มีเวลามาเขียน blog ให้อ่านกันด้วยว่าภารกิจรัดตัวตื่นแต่เช้ากว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกตลอดไม่ทราบว่าคิดถึงกันไหมครับ เดือนนี้ภารกิจเสร็จสิ้นจึงพอมีเวลามาเขียน blog ให้ได้อ่านกันต่อ ซึ่งร้านที่จะนำเสนอในวันนี้เป็นร้านที่คิดไว้นานแล้วครับแต่ยังไม่มีโอกาสเหมาะๆ


       ใครที่ชื่นชอบการอ่านประวัติศาสตร์เก่าๆ ของประเทศไทยคงพอรู้ความหมายและที่มาของคำว่า "เข้าแฝ่" ในสมัยก่อนที่เรียกขานกันซึ่งก็เพี้ยนมาจากคำว่า cafe หรือ coffee ที่ชาวต่างชาตินำเข้ามาพูดในเมืองไทยนั่นเองครับโดยเริ่มเข้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 และมีวัฒนธรรมกาแฟเรื่อยมาจนกระทั่งถึงยุคปัจจุบันครับ


       ด้วยมนต์เสน่ห์แห่งความเก่าแก่ของคำว่าเข้าแฝ่ผนวกกับบรรยากาศย้อนยุคหรือ retro ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ทำให้ก่อกำเนิดร้านกาแฟร่วมสมัยภายใต้ชื่อว่า "เข้าแฝ่" ขึ้น


       บรรยากาศร้านเข้าแฝ่นั้นตกแต่งเรียบง่ายเน้นความ simple และ classic เป็นหลัก มีการจำลองร้านให้เหมือนกับร้านกาแฟสมัยโบราณที่ชาวบ้านยุคก่อนเคยสัมผัสกันจนชินตา แต่จุดเด่นของร้านนอกจากการตกแต่งแล้วยังได้มีการนำเอากาแฟทั้งของเก่าและของใหม่มาผสมผสานกันจนได้ชื่อว่าเป็น "ร้านกาแฟร่วมสมัย"


       และเมื่อเราดูจากเมนูของร้านก็ยิ่งตอกย้ำความร่วมสมัยมากยิ่งขึ้นโดยเครื่องดื่มของร้านนั้นมีตั้งแต่กาแฟสดสากลที่เราคุ้นตาคุ้นลิ้นจนถึงกาแฟโบราณ โอเลี้ยง โอยั๊วะ ส่วนใครที่เป็นคอชาทางร้านก้ยังมีขาจีนและชาฝรั่งให้ได้ลิ้มลองรวมถึงน้ำแดงโซดาและสมูทตี้ต่างๆ เรียกได้ว่าครบเครื่องเรื่องเครื่องดื่มเลยทีเดียว


       ส่วนในเรื่องของรสชาติถึงแม้ว่าร้านและบรรยากาศจะออกสไตล์เก่าๆ ไทยๆ แต่ก็อย่าเพิ่งเหมาว่ากาแฟสดเค้าจะมีรสชาติพื้นๆ จากการทดลองสั่งกาแฟสดกว่า 5 รอบ สรุปว่าฝีมือการชงไมไ่ด้ยิ่งหย่อนไปกว่าร้านกาแฟสดร้านดังๆ บางร้านเลยครับ แถมยังเลือกสั่งได้ด้วยว่าจะเอาเข้มข้น หวานมาก หวานน้อย แค่ไหน น้อง barista เค้าจัดให้ตามต้องการ แถมราคาก็ยังไม่แพงอีกด้วยครับ
       สำหรับการนำชมร้านกาแฟในครั้งนี้อาจจะสั้นและห้วนไปหน่อยด้วยว่าเวลาที่มีจำกัดก็ต้องขออภัยด้วยครับ ไว้คราวหน้าจะพยายามให้เป็นปกติดังเดิม ส่วนใครที่อยากลิ้มลองว่าร้านกาแฟชื่อ "เก่า" จะรสชาติ "เก๋า" จริงอย่างที่ร่ำลือหรือไม่ไปลิ้มลองกันได้ครับ ร้านนี้อยู่ตรงสะพานลอยฝั่งตรงข้ามห้างสรรพสินค้าพาต้าปิ่นเกล้าเลยครับอีกทั้งอยู่ติดกับร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อย "รสดีเด็ด" พอดิบพอดี ลองสั่งกาแฟหลังทานก๋วยเตี๋ยวเสร็จก็คงมีความสุขไม่น้อยทีเดียว สวัสดีครับ

                                                                                                                                      กาลาโต้

วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

Cupping Street : ทุก story ย่อมมีที่มากับ Vivi Cafe



       ในชีวิตของคนเราทุกคนนั้นย่อมต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ นาๆ ที่ประดังเข้ามาในชีวิตอยู่ทุกวัน ดีบ้าง ร้ายบ้างปะปนกันไป ไม่มีใครหรอกที่เจอแต่เรื่องดีๆตลอดชาติและก็ไม่มีใครอีกเช่นกันที่ต้องเจอแต่เรื่องแย่ๆ ตลอดไป เพราะบางทีในความแย่ก็ยังมีเรื่องที่ดีอยู่บ้างหรือบางทีเรื่องที่เราคิดว่าดีที่สุดก็ยังมีเรื่องร้ายๆ แอบโผล่มาให้เห็นอยู่ด้วยเสมอๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายสิ่งเหล่านั้นก็คือประสบการณ์และความทรงจำของเราที่รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น

      เมื่อคนเรามีความทรงจำได้ สิ่งของก็คงมีความทรงจำได้เช่นกันหากเพียงแต่สิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีความรู้สึกนึกคิดในเรื่องของความทรงจำแต่กลับเป็นตัวที่กระตุ้นให้เกิดความทรงจำอันมากมายกับใครๆอีกหลายคนรวมไปถึงเจ้าของร้านกาแฟในวันนี้ที่เราจะนำเสนอก็คือร้าน Vivi Cafe


       ร้าน Vivi Cafe ตั้งอยู่ใจกลางเมืองแถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อยู่บริเวณชั้นล่างของอาคารสถาบันกวดวิชา enconcept อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฝั่งเดียวกับโรงภาพยนตร์ Century ซึ่งหาง่ายมากครับหากขึ้นรถไฟฟ้ามาให้ลงสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิแล้วเดินมายังบันไดทางออกที่จะเดินไปยังอนุสาวรีย์ ลงบันไดมากลับหลังหันเจอเลย หรือถ้ามาโดยรถโดยสารประจำทางก็ลงป้ายโรงภาพยนตร์ Century แล้วเดินย้อนไปประมาณไม่เกิน 150 เมตรก็จะเห็นร้านเด่นเป็นสง่า


       ด้วยสโลแกนของทางร้านที่ว่า "จิบล้านความทรงจำ" จึงพอทำให้เชื่อได้ว่าคุณเวียงเจ้าของร้านกาแฟ Vivi Cafe (อาจจะเป็นต้นแบบของโลโก้ของร้านด้วย @^_^@) คงจะเป็นคนที่มีอารมณ์สุนทรีย์และคงมีเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมาในชีวิตพอสมควร ดูจากการตกแต่งร้านสไตล์ retro ในยุค '80 ไม่ว่าจะเป็นผนัง เก้าอี้ หรือแม้กระทั่งของประดับร้านก็เป็นของเก่าๆ แบบประมาณว่าเคยเห็นกันตอนเด็กๆ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ออกแบบย้อนยุคเต็มร้อยอย่างร้านกาแฟเพลินวาน แต่ก็ได้บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นสไตล์บ้านๆ ชานเมือง เลยทีเดียว ส่วนกรอบรูปด้านหนึ่งที่ติดบนผนังนั้นเมื่อเดินไปใกล้เราจะได้เห็น The Story Of Vivi Cafe หรือเรื่องราวที่มาของการก่อกำเนิดของร้าน Vivi cafe ที่กลั่นกรองข้อความมาจากหัวใจของเจ้าของร้าน และ story เหล่านี้เองมีส่วนช่วยทำให้เราทราบถึงทีมา แนวคิดของเจ้าของร้าน คอนเซปต์ร้านอีกทั้งยังช่วย build อารมณ์ให้กาแฟของคุณมีความอร่อยขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลยทีเดียว




       ในส่วนเมนูของทางร้านก็มีเครื่องดื่มหลายชนิดให้ได้เลือกชิมกัน จากการแอบสอบถามเด็กๆ ที่มาใช้บริการระหว่างรอเข้า class เรียนพิเศษ ทราบว่าโกโก้เย็นที่นี่อร่อยไม่แพ้ใคร แต่เนื่องจากเราคอกาแฟดังนั้นจึงขอสั่ง Signature Drink ของที่นี่ที่ barista ภูมิใจนำเสนอนั่นก็คือ Ice Vivi Coffee นั่นเอง


       Ice Vivi Cofee แก้่วนี้มีรสชาติกลมกล่อมลงตัวอย่างน่าประหลาด ความเข้มข้นของเมล็ดพันธุ์กาแฟที่ผสมผสานกับส่วนผสมอันเป็นรูปแบบเฉพาะของทางร้านและเมื่อผนวกกับ story ที่ติดข้างผนัง รวมไปถึงบรรยากาศแนว Retro แล้ว ทำให้กาแฟแก้วนี้เอร็ดอร่อยราวกับต้องมนต์ มีความอ่อนนุ่มของรสชาติที่แฝงอยู่ในในความเข้มข้นของกาแฟ มีรสหอมหวานอ่อนๆ แทรกอยู่ในทุกอนูที่ได้ชิม ทันทีที่ได้จิบไปอึกแรกชวนให้คิดถึงความทรงจำในอดีตที่เคยผ่านมา หรือนี่จะคือสิ่งที่สโลแกนว่า "จิบล้านความทรงจำ" และกาแฟแก้วนี้คงจะเป็นอีกหนึ่งในความทรงจำดีๆ ที่เข้ามาในชีวิตผม ให้ผมได้หวลคิดคำนึงในกาลข้างหน้าว่าครั้งหนึ่งได้มีโอกาสจิบกาแฟอร่อย กาแฟดี กาแฟที่ทำออกมาด้วยหัวใจ อย่าง Ice Vivi Cafe แก้วนี้...


       ดังที่ผมกล่าวไปข้างต้นนั่นแหละครับว่าคงไม่มีอะไรที่จะเป็นความทรงจำดีๆ ได้ทั้งหมด หรือจะเลือกเก็บแต่เฉพาะความทรงจำที่ดีอย่างเดียวก็คงเป็นไปไม่ได้ ชีวิตย่อมต้องมีทั้งดีและร้าย เมื่อมีความทรงจำที่ดีก็ขอให้รักษามันไว้ตลอดไป ส่วนเมื่อมีความทรงจำที่ร้ายๆ ขอก็ให้เก็บไว้เป็นบทเรียน อาจจะเจ็บบ้าง อาจจจะทุกข์บ้าง ก็ขอให้มันเป็นเหมือนยารักษา ภูมิต้านทานโรคไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก และขอให้จำไว้ว่าบางทีในเรื่องแย่ๆ ก็น่าจะยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นอยู่บ้างเหมือนกันหากเราใช้สติปัญญาไตร่ตรองดูดีๆ


"ดูอย่างนาฬิกาที่เสียสิ อย่างน้อยๆ ก็บอกเวลาถูกวันละตั้ง 2
ครั้งนะครับ!"

                                                                                                                             กาลาโต้





วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

Cupping Street : กาแฟช้างน้อยกับ Opal's Coffee



       สวัสดีครับท่านผู้อ่านและชาว coffee mania ทุกท่าน ช่วงที่ผ่านมาห่างหายจากการอัพเดท blog ไปเกือบๆ 2 สัปดาห์เนื่องจากว่ามีภารกิจติดพัน แม้จะได้ไปชิมกาแฟมาหลายที่แต่ก็ยังไม่มีเวลาที่จะมาเขียนเรื่องนำเสนอก็เลยจำเป็นต้องเก็บเป็น stock ไว้เพื่อจะได้ทยอยๆ นำมาลงให้อ่านกัน หวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงจะไม่ลืมกันและคอยติดตามกันอยู่นะครับ
      
       สำหรับ Cupping Street ในตอนนี้ผมจะพาทุกคนไปเยี่ยมชมร้านกาแฟโอปอลที่ไม่ใช่ร้านของโอปอลกัน ! งงกันไหมครับ ??? อย่าเพิ่งงงกันเพราะคำเฉลยนั้นอยู่ในบรรทัดถัดไป!

       ถ้ายังจำกันได้ ในตอนแรกๆ ของการเขียน blog ซึ่งก็คือเรื่องแรกนั่นเอง ผมได้มีโอกาสพาไปยังร้านกาแฟ "มงคล" ที่ดำเนินการโดยคุณโอเปคน้องชายของคุณ โอปอลดาราชื่อดังซึ่งมีหุ้นอยู่ในร้านดังกล่าวด้วย แต่ในบทความตอนนี้ถึงแม้ว่าร้านจะชื่อ "โอปอล" แต่ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างไรกับครอบครัวตระกูลนี้ แถมโลโก้ของร้านยังออกแบบได้น่ารักเสียด้วยเป็นรูปช้างน้อยภายใต้ชื่อร้านว่า "โอปอล คอฟฟี่"



       ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยสนิทกับร้านนี้สักเท่าไหร่นัก แต่จากการใช้ชื่อและโลโก้ของร้านแล้วน่าจะพอเดาได้ว่า คำว่า "โอปอล" ที่มาเป็นชื่อของร้านนั้นน่าจะเป็นชื่อเล่นของเจ้าของร้านมากกว่า อีกทั้งเจ้าของน่าจะเป็นผู้หญิงและชอบช้างเป็นพิเศษจึงนำเอารูปช้างน่ารักๆ มาเป็นโลโก้ จะผิดถูกอย่างไรก็ไม่้ทราบได้เพราะตั้งแต่ดื่มมาไม่เคยเจอเจ้าของร้านเสียทีหากมีโอกาสได้เจอไว้จะไถ่ถามมาฝากกัน

       กลับเข้าสู่เรื่องของร้าน "Opal's Coffee" กันดีกว่า ร้านกาแฟที่กล่าวถึงนี้ มีพิกัดสถานที่ตั้งอยู่บริเวณลานฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี โดยเปิดเป็นร้านแบบ stand alone ที่อยู่แวดล้อมไปด้วย ร้านขายเสื้อผ้า ของแฟชั่นหรือแม้กระทั่งก๋วยเตี๋ยวและขนมจีนน้ำยา! ซึ่งถ้าเราไปถึงตรงนั้นแล้วรับรองหาไม่ยากครับ เพราะร้านกาแฟสไตล์นี้มีเพียงแค่ร้านนี้ร้านเดียว โดยร้านด้านหน้าจะมี Counter Bar ที่ลูกค้าจะสั่งเครื่องดื่มได้จากตรงนี้หรือจะนั่งทานฆ่าเวลาระหว่างรอรถประจำทางก็ยังได้เพราะสามารถนั่งได้ 3-4 คน ส่วนด้านข้างของร้านมีโต๊ะ๊กลมพร้อมเก้าอี้ขนาดย่อมๆ ให้บริการได้อีก 4 คน แค่นี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว


       และด้วยโลโก้ของร้านที่เป็นรูปช้างน้อยน่ารักๆ บวกกับชื่อที่มีความโดดเด่นในตัวอย่าง "โอปอล" จึงทำให้ผู้ที่เดินผ่านสัญจรไปมาไม่น้อยสะดุดตาที่จะมองดูและเมื่อผสมผสานกับความหอมของกลิ่นกาแฟที่ลอยออกมาแทบจะตลอดเวลาแล้วทำให้หลายคนตัดสินใจที่จะเข้าไปลิ้มลองสินค้าของร้านโดยไม่ลังเล โดยของที่ขายในร้านนั้นต้องเรียกได้ว่าเน้นกลุ่มเป้าหมายดึงดูดบรรดาวัยรุ่นเป็นพิเศษ เพราะนอกจากกาแฟและชาแล้วยังมีไอศครีมและ smoothies ให้ได้ชวนชิมกันอีกด้วย แถมยังมี topping ให้ใส่กันตามความชอบใจแบบนี้คงจะถูกใจคอไอศรีมได้เป็นอย่างดี


       ส่วนเรื่องของกาแฟนั้นร้านโอปอลจะเหมือนกับหลายๆ ร้านที่มี Signature Drink เป็นของตนเอง โดยร้านนี้มี "กาแฟโอปอล" เป็นตัวชูโรงของร้าน ขายในราคา 55 บาท แต่เท่าที่ลองชิมดูหลายครั้งผมกลับชอบเมนู Espresso เย็นของที่นี่มากกว่าเพราะรสชาติจะออกกลมกล่อมในขณะที่กาแฟโอปอลนั้นจะเน้นหวานมันให้ถูกคอกับรสชาติของคนไทยเป็นหลัก ในส่วนของไอศครีมหรือ smoothies ถือว่ารสชาติใช้ได้เหมาะกับคนที่ชอบของหวานแนวนี้ครับ


       ร้าน Opal's Coffee นี้มักจะมีกิจกรรมเล็กน้อยๆ ให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอตลอดทั้งปีนอกเหนือจากโปรโมชั่นประจำร้านคือซื้อ 10 แถม 1 (อีกแล้ว) อย่างเช่นเมื่อต้นปีก็มีการสะสมแต้มเพื่อแลกตุ๊กตาช้างน้อย หรือก่อนหน้านี้ที่เป็นโปรโมชั่นสะสมแต้มเพื่อแลก tumbler ใส่เครื่องดื่มหรือแม้กระทั่งนำ tumbler มาใส่เครื่องดื่มจะได้ลดราคา ถึงแม้ว่าจะเป็นโปรโมชั่นที่ดูไม่หรูมากเมื่อเทียบกับบรรดาร้านกาแฟยักษ์ใหญ่หลายๆ เจ้าแต่ก็เป็นการสร้างความสัมพันธ์และเป็นการตอบแทนลูกค้าผู้มีอุปการะคุณได้ในระดับหนึ่งดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่เราจะเห็นร้าน Opal's coffee นี้มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาใช้บริการกันตลอดทั้งวัน

       ครั้งต่อไปหากมีโอกาสผ่านไปแถวอนุสาวรีย์อยากให้ไปลองใช้บริการหรือไปลิ้มลองเครื่องดื่มของร้าน Opal's Coffee กัน รับรองได้ว่าบรรดาคอกาแฟไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนส่วนจะทานไอศครีมหรือ smoothies เพิ่มเติมนั้นถือเป็นของแถมกำไรชีวิตก็แล้วกันครับ

                                                                                                                     Galato
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

Blend Storming : "สุดฮิต" หรือ "สิ้นคิด" กับโปรโมชั่น 10 แถม 1


       โปรยเรื่องจั่วหัวพร้อมภาพที่คุ้นตากันแบบนี้คาดว่าคุณผู้อ่านทุกท่านพอจะทราบได้เลาๆ ว่าสิ่งที่ผมจะพูดในบทความนี้นั่นก็คือโปรโมชั่นการตลาดพื้นฐานของร้านกาแฟที่ "ฮิต" มากอันหนึ่งนั่นก็คือโปรโมชั่นซื้อครบ 10 แก้วแถม 1 แก้วนั่นเอง ซึ่งไม่ว่าทั้งคนกิน คนขาย หรือแม้แต่ตัวผมเองล้วนแล้วแต่เคยสัมผัส โปรโมชั่นนี้กันแล้วทั้งนั้น

       ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครที่เป็นคนต้นคิดนำเอาโปรโมชั่นดังกล่าวนี้มาใช้กับร้านกาแฟเป็นเจ้าแรก เพราะเดิมทีโปรโมชั่นประเภท mileage นี้มักนิยมใช้กับร้านล้างรถ ร้านเช่าวิดีโอ หรือร้านที่มีสมาชิกเพื่อสะสมการซื้อยอดซื้อ เสียเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อมันขยายเป็นโปรโมชั่นของร้านกาแฟกลับได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจนทำให้แพร่หลายขยายลุกลามเร็วยิ่งกว่าเชื้อโรคเสียอีกจนทำให้ทุกร้านกาแฟมีโปรโมชั่นนี้แทบทั้งสิ้น เรียกกันได้ว่าร้านไหนที่ไม่ทำโปรโมชั่นนี้ จะถูกเรียกว่า "ล้าสมัย" จนถึงขนาดที่ว่าร้านกาแฟระดับพรีเมี่ยมยักษ์ใหญ่ยังนั่งไม่ติด อดรนทนไม่ได้ ต้องลงมาร่วมวงเลยทีเดียว


       และตามกฏการตลาดที่ง่ายๆคือ เมื่อของสิ่งใดที่ได้รับความนิยมมากก็จะมีคนทำตามกันอย่างแพร่หลายและท้ายที่สุดสิ่งนั้นก็จะเสื่อความนิยมไป ไม่พ้นแม้แต่โปรโมชั่นนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะยังคงมีหลายร้านที่ใช้โปรโมชั่น 10 แถม 1 อยู่ แต่มันก็ไม่ได้รับความนิยมเหมือนสมัยก่อน ยังมีไม่กี่เจ้าที่ยังคงใช้โปรโมชั่นอันนี้เพื่อกระตุ้นยอดขาย แต่ความคิดผมสำหรับโปรโมชั่นตัวนี้ขอบอกครับว่ามันมีมากจนผม "เอียน" เลยทีเดียว

       ไม่เชื่อลองดูในกระเป๋าสตางค์ดูสิครับว่ามีบัตรประเภทนี้กันกี่ใบ!

      สำหรับผมเองนั้นคร่าวๆ ก็เกือบ 10 ใบแล้วครับไปที่ไหนก็ไ้ด้มาเรื่อย เวลาจะหยิบสะสสมแต้มกันทีต้องใช้เวลาค้นหาอยู่นานว่าเป็นใบไหนยิ่งถ้าเวลารีบเร่งด้วยแล้วจะรู้สึกหงุดหงิดมากๆ ถึงขนาดบอกกับตัวเองว่าครั้งนี้กรูไม่สะสมก็ได้วะ เชื่อว่าคอกาแฟหลายๆ คนคงจะเคยเจอเหตุการณ์เดียวกับผม

       หากเรามองในมุมมองของเจ้าของร้าน โปรโมชั่นนี้ถือได้ว่าเป็นประโยชน์ต่อเจ้าของร้านยิ่งนักเพราะอย่างน้อยเป็นการเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้น อีกทั้งหากในบัตรสะสมแต้มมีรายละเอียดของร้านเช่น เบอร์โทร ที่ตั้งร้าน ก็จะทำให้เป็นการโปรโมทร้านให้รู้จักอีกทางหนึ่ง แต่ต้องอย่าลืมว่าบางทีหากเราแจกไมุ่ถูกจุด เช่นลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลุกค้าขาจรที่ดูแล้วไม่น่าจะกลับมาร้านเราอีกแล้วเราแจกไปแทนที่จะกระตุ้นยอดขายกลับกลายเป็นการเพิ่มต้นทุนไปเสียนี่ ผมเองก็มีครับบัตรสะสมแต้มที่ใช้เพียงครั้งเดียวแล้วไม่มีโอกาสไปใช้บริการอีก เพราะร้านอยู่ไกล ตอนนั้นบังเอิยแวะไปพอดี หลังๆนี่เลยคิดว่าถ้าไม่สามารถไปใช้บริการได้อีกหรือเพียงแค่แวะมาเพียงครั้ง 2 ครั้งก็จะปฏิเสธการรับบัตรสะสมแต้ม ให้เค้าไปแจกกลุ่มเป้าหมายแล้วได้ผลดีกว่าครับ!

      ในขณะเดียวกันเมื่อมันมีข้อดีก็มีข้อเสียเช่นกันสำหรับเจ้าของร้านที่ไม่มีเวลาดูแลร้าน ต้องจ้างลุกจ้างมาดูแลและมีระบบจัดการบริหารไม่ดี โปรโมชั่นนี้แทนที่จะเพิ่มกำไรอาจเป็นโปรโมชั่นลดกำไรก็เป็นได้ เพราะเราจะเช็คได้อย่างไรว่าแก้วที่แทงว่าแถมนั้นไม่ใช่แก้วที่ขายไปแล้วเข้ากระเป๋าพนักงานเอง อันนี้เป็นเรื่องของการจัดการบุคลากรแล้วครับ!

       ส่วนในมุมมองของคนกินนี่ถือว่าเป็นกำไรครับ เพราะอย่างน้อยหากกินประจำก็มีโอกาสได้ฟรี 1 แก้วในทุกๆ 10 แก้ว แต่อย่าลืมว่าในกรณีที่คุณไม่ได้นำบัตรสะสมแต้มมาเท่ากับว่าครั้งนั้นฟาวล์ครับ เสียเงินแต่ไม่ได้สะสม บางร้านก็จะให้ใบสะสมแต้มใบใหม่มาให้แต่ไม่สามารถเอาไปรวมกับใบเดิมได้ ดังนั้นเราอาจจะต้องกินมากกว่า 10 แก้วเพื่อให้ได้แถม 1 แก้ว ดังนั้นหากคุณเป็นคนขี้หลงขี้ลืมโปรโมชั่นนี้คงเหมาะกับคุณเป็นแน่แท้ ส่วนปัญหาต่อมาคือเมื่อพกบัตรเยอะๆ ขึ้นมันจะไม่ค่อยสะดวกสบายดังที่กล่าวไว้ตอนต้นบทความแล้ว และที่สำคัยอีกอย่างหนึ่งการที่มีโปรโมชั่นแบบนี้เยอะๆ จะทำให้ผู้บริโถครู้สึกชินกับโปรโมชั่นและไม่ตื่นเต้นกับการที่จะซื้อกาแฟกินสักแก้ว เพราะที่ไหนก็มีโปรโมชั่นนี้เหมือนกันนั่นเอง

      มาถึงบทสรุปของเจ้าตัวโปรโมชั่นนี้ตัวผมเองไม่อาจสรุปได้ว่าเจ้ากิจกรรมกระตุ้นยอดขายตัวนี้มันยังคง "สุดฮิต" หรือ "สิ้นคิด" กันแน่ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าร้านกาแฟต่างๆ จะนำเอามันไปประยุกต์ให้เข้ากับร้านเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้ักับลุกค้าในร้านและเพิ่มยอดขายให้กับทางร้านได้อย่างไร พูดง่ายๆ คือทำอย่างไรที่จะให้โปรโมชั่นนี้ Win Win ทั้งคนกินและคนขายนั่นเอง ถ้าทำได้เจ้าโปรโมชั่นนี้ก็ถือได้ว่ายังเป็นเกมส์ยอดฮิตที่น่าเล่นอยู่ แต่หากนำเอาโปรโมชั่นนี้มาเพียวๆ ไม่รู้จัก ดัดแปลง คิดต่อยอด เชื่อได้ว่านอกจากยอดขายจะไม่เพิ่มแล้วยังจะถูกกล่าวหาว่าทำโปรโมชั่น "สิ้นคิด" นี้ขึ้นมาทำไมอีกด้วย แต่ในปัจจุบันก็เริ่มเห็นมีคนนำเอาความคิด 10 แถม 1 นี้ไปต่อยอดใช้กับร้านของตนเองบ้างแล้วนะครับ อย่างที่ผมเคยเห็นก็คือเปลี่ยนจากการสะสมจาก 10 แก้ว แถม 1 แก้วมาเป็น แถมตุ๊กตา หรือของพรีเมี่ยมของทางร้านเอง แม้แต่ร้านกาแฟอันดับหนึ่งของโลกอย่าง สตาร์บัคส์ก็นำวิธีนี้ให้ลูกค้าดื่มเพื่อสะสมแต้มรับสมุดบันทึก หรือแม้แต่กการลดจำนวนการสะสมแต้มให้น้อยลงเพื่อเพิ่มแรงจูงใจต่อการบริโภคของลูกค้าจาก 10 แถม 1 มาเป็น 5 แถม 1 บ้าง หรือ 6 แถม 1 บ้างซึ่งก็ช่วยได้ระดับหนึ่งและไม่ให้เกิดความจำเจ

                                                                                                                     กาลาโต้
วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

The Bookmark : ตำราแห่งประสบการณ์ที่ความล้มเหลวคือกำไร



       สำหรับคนที่ชื่นชอบในรสชาติของกาแฟแล้วคงไม่มีความฝันใดที่ดีไปกว่าการเป็นเจ้าของร้านกาแฟในฝันสักร้านหนึ่ง บางคนเพียรพยายามเก็บเล็กผสมน้อยคอยสะสมเงินตราที่มีอยู่เป็นทุนรอนในการสร้างฝันให้เป็นจริงในขณะที่อีกหลายๆ คนก็พยายามเก็บเกี่ยวประสบการณ์จริงก่อนบินเดี่ยวเปิดร้านด้วยการเป็นลูกจ้างตามร้านกาแฟต่างๆ ส่วนคนที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรหรือทำแบบไหนเชื่อได้ว่าหนังสือประเภท "howto" ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ผมเองก็ยังมีติดบ้านอยู่หลายๆ เล่มเหมือนกัน

       สำหรับหนังสือ howto เกี่ยวกับธุรกิจกาแฟในบ้านเราตอนนี้มีออกมาหลายต่อหลายเล่ม บางเล่มก็เน้นหนักทางด้านวิชาการ บางเล่มก็เน้นด้านกรรมวิธี แทบทุกเล่ม ทุกหัว มัก focus ไปที่ความสำเร็จในการเปิดร้านกาแฟทั้งสิ้น มองในแง่หนึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีที่เสริมสร้างกำลังใจให้กับผู้ที่จะเริ่มเข้ามาคลุกคลีกับธุรกิจนี้ แต่ถ้ามองให้ดีมันคือ "การสร้างวิมานในอากาศ" หรือเปล่า??

      มีคนหลายคนที่ทำตามหนังสือแล้วเจ๊ง
     
      มีคนหลายคนไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงทั้งการจัดการร้านหรือปรับปรุงเมนูให้เหมาะสมเพราะทำตามที่หนังสือบอก
     
      แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่ผมกำลังเริ่มที่จะเอียนกับหนังสือ howto เหล่านี้กลับได้พบหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ผมถือว่าไม่ใช่เป็นเพียง pocket book ปกิณกะเพื่อความบันเทิงธรรมดา หากแต่เป็น "ตำราแห่งประสบการณ์" ที่หนังสือ howto เหล่านั้นเทียบไม่ติดเลยทีเดียว นั่นก็คือหนังสือ "เรื่องเล่าร้านกาแฟ" นั่นเอง

       เมื่อเหรียญมี 2 ด้านฉันใด การทำธุรกิจก็ย่อมมี 2 ด้านเช่นกันคือถ้าไม่รวยก็เจ๊งไปเลย นั่นคือตรรกะง่ายๆ ของโลก เพียงแต่มนุษย์เรามักจะมองในด้านที่ตัวเองได้ประโยชน์เสียส่วนใหญ่จึงมักจะหลีกเลี่ยงที่จะมองอีกด้านของจริงเสมอๆ

       หนังสือเรื่องเล่าร้านกาแฟนี้ถือเป็นตำรา case study อีกเล่มหนึ่งที่บรรดาผู้ที่คิดหรือกำลังจะเปิดร้านกาแฟควรจะมีติดกาย ติดหิ้งหนังสือไว้ เพราะผู้เขียนคือคุณสุพัตราได้ถ่ายทอดประสบการณ์จริงในการเปิดร้านกาแฟของตนเองกลั่นเป็นตัวหนังสือบทความไว้ในหนังสือเล่มนี้ หากเพียงแต่สิ่งที่เธอสื่อนั้นก็คือการเปิดร้านกาแฟแล้ว "เจ๊ง" ไม่เป็นท่านั่นเอง

      ผู้เขียนได้เล่าถึงที่มาในการเปิดร้านกาแฟของตนเองที่เริ่มต้นด้วยความฝันเหมือนกับใครอีกหลายต่อหลายคนจนกระทั่งมีร้านกาแฟเป็ของตนเอง เล่าถึงวิธีการทำทุกวิถีทางให้ร้านกาแฟอยู่รอด จนกระทั่งมาถึงบทสรุปสุดท้ายของความเป็นจริงที่ว่าเมื่อทำเต็มที่จนไม่สามารถรับไหวแล้วก็ต้องปิดตัวลง อาจจะเป็นความจริงที่น่าเจ็บปวด แต่มันก็คือความจริง อย่างน้อยแม้จะขาดขุนแต่ก็ถือว่าได้ประสบการณ์เป็นกำไร แถมเป็นกำไรที่หาได้ยากเสียด้วยเพราะบางทีเงินก็ซื้อประสบการณ์ไม่ได้เสมอไป

       ผมไม่ได้บอกว่าเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้แล้วจะทำให้ผู้ที่คิดเริ่มต้นท้อแท้ เพียงแต่อยากให้หนังสือเล่มนี้เป็นเข็มทิศชี้ทางมากกว่า เพราะเมื่อมีคนเดินผิดพลาดแล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นต้องเดินตามรอยผิดพลาดนั้น อย่างน้อยก็โชคดีที่ไม่ต้องเสียเงินและเวลาซื้อประสบการณ์เหมือนกับผู้เขียนและขอให้ผู้ที่คิดจะเปิดร้านกาแฟทุกท่านโชคดีในการเปิดร้านกาแฟทุกท่าน สวัสดีครับ

                                                                                                                       กาลาโต้
     
วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

Cupping Street : Om Coffee กาแฟที่ไม่มีพรมแดนศาสนา


       ในโลกของเราทุกวันนี้ การแบ่งแยกเชื้อชาติ การแบ่งแยกหมู่เหล่าและพวกพ้องรวมไปถึงการคบหาพวกเดียวกันและต่อต้านสิ่งที่ไม่ใช่พวกออกจากวงสังคมดูจะเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว ด้วยว่ามนุษย์นั้นแม้จะเป็นสัตว์สังคมที่ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่มแต่เพราะอัตตาและทัศนคติที่แตกต่างกันทำให้มนุษย์เลือกที่จะก่อตั้งกลุ่มของตนเองขึ้นมาเพื่อความอยู่รอดและเพื่อต้องการการยอมรับจากคนในสังคมนั่นเองดังจะเห็นได้จาก
      
       - มนุษย์มีภาษาท้องถิ่นเป็นของตนเอง
       - มนุษย์มีวัฒนธรรมท้องถิ่นเป็นของตนเอง
       - มนุษย์มีศาสนาเป็นของตนเอง
                           ฯลฯ

       โดยเฉพาะเรื่องศาสนานั้นต้องเรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่เถียงกันไม่รู้จักจบสิ้นเพราะแต่ละศาสนาต่างก็ยกคำสอนมาอวดอ้างว่าศาสนาของตนดีกว่าศาสนาอื่น ทั้งๆ ที่หากมองถึงแก่นแล้วทุกศาสนาล้วนแล้วแต่สอนให้ทุกคนเป็นคนดีทั้งสิ้น นี่แหละครับคือเรื่องของอัตตาที่ผมว่าไว้!
   
       แต่สำหรับ coffee mania อย่างเราๆ ท่านๆ แล้วนั้นผมมั่นใจครับว่าย่อมไม่มีเรื่องชาติพันธุ์หรือศาสนามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน ด้วยว่ากาแฟนั้นถึงแม้จะมีที่มาต่างกัน ถิ่นกำเนิดที่แตกแยกจากกัน แต่ก็สามารถข้ามผ่านกำแพงเหล่านั้นและมาหลอมรวมให้คนทุกชาติ ทุกภาษา ทุกศาสนาได้ลิ้มลองดื่มด่ำกับเจ้าผลผลิตอันน่าพิศวงนี้ได้อย่างลงตัว เพราะ "กาแฟนั้นไม่แบ่งแยกศาสนา" ครับ ไม่ว่าชาติไหน ศาสนาก็ดื่มกาแฟเหมือนๆ กัน!


       เฉกเช่นร้า่น Om Coffee ที่ผมนำมาเสนอในวันนี้ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีและเห็นได้ชัดเพื่อสนับสนุนแนวคิดข้างต้น เพราะเชื่อไหมครับว่าเจ้าของร้านกาแฟร้านนี้เป็นคนไทยแต่นับถือศาสนาพราหมณ์!


       ร้าน Om Coffee มีนิวาสถานตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกับศาลพระศิวะที่ประดิษฐานอยู่บนถนนบรมราชชนนีซอย ป.กุ้งเผา ซึ่งถ้าใครผ่านแถวนั้นบ่อยๆ คงจะคุ้นตากันดี ส่วนร้านกาแฟนั้นหากเราเดินออกจากห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้ามาเรื่อยๆ เลียบสะพานข้ามคลองไม่ถึง 50 เมตรจะเห็นร้านกาแฟร้านนี้ตั้งเด่นเป็นสง่าชวนมอง โดยเฉพาะป้ายไวนิลหน้าร้านที่ประกาศศักดากาแฟของตัวเองว่าเป็น "กาแฟขั้นเทพ"! เมื่อประกาศตัวแบบนั้นเราชาวคอกาแฟย่อมมีหรือที่จะพลาดได้ เชื่อว่าร้อยทั้งร้อยเข้าร้านทุกคนครับ


       บรรยากาศภายในร้านนั้นต้องเรียกได้ว่าลงตัวยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นโทนสี การจัดโต๊ะเก้าอี้และอุปกรณ์ต่างๆ ของทางร้าน แต่สิ่งหนึ่งที่ตอกย้ำถึงการอยู่ร่วมกันของศาสนาที่ไม่ได้มีการแบ่งแยกของร้านนี้ก็คือถึงแม้ว่ารูปถ่ายหรือของประดับในร้านจะเกี่ยวข้องกับบรรดามหาเทพในศาสนาพราหมณ์เสียเป็นส่วนใหญ่แต่เราก็จะเห็นว่ามีรูปภาพของพระพุทธรูปประดับกำแพงด้วยเช่นกัน ถือเป็นการผสมผสานในคอนเซปต์ที่ว่า "แม้แตกต่างแต่ไม่แตกแยก"


       และแล้วก็มาถึงเรื่องที่ทุกคนรอคอยกัน นั่นก็คือรสชาติและราคาของกาแฟ ต้องบอกก่อนว่าร้านนี้เค้าขายกาแฟและเครื่องดื่มในราคาที่ไม่สูงมากนัก โดยจะอยู่ระหว่างที่ 40-60 บาท เมนูส่วนใหญ่เน้นกาแฟเป็นหลัก มีช็อคโกแลต ชาและอิตาเลี่ยนโซดาเป็นตัวเสริมและที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่งก็คือร้านนี้เขามีขนมคุกกี้หรือเค้กชิ้นเล็กๆให้ได้เลือกซื้อเพื่อทานคู่กับเครื่องดื่มกันอีกด้วย โดยขนมเหล่านั้นจะตีตราโลโก "Om Coffee" ไว้อย่างเสร็จสรรพ ถือเป็นการสร้าง brand recognition อีกทางหนึ่ง
      
       ส่วนเมนูกาแฟของที่นี่นั้นก็เหมือนกาแฟที่มีมาตรฐานทั่วไปคือ เอสเพรสโซจะเป็นเครื่องดื่มร้อนเท่านั้น ส่วนกาแฟตัวอื่นๆ จะมีทั้งร้อนและเย็น โดยกาแฟที่ผมสั่งมาเทสต์ในวันนี้นั้นมี 2 อย่างคือ ice latte และ ice americano ซึ่งกาแฟทั้ง 2 ชนิดนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวังแต่อย่างใด ส่วนผสมของนมและกาแฟใน latte ลงตัวกันอย่างเหมาะเจาะ ส่วน americano นั้น ช่างขมกลมกล่อมได้ใจ จนอดไม่ได้ที่จะแอบกระซิบถามคุณโอ๊คเจ้าของร้านว่ามีเคล็ดลับอะไรถึงทำให้กาแฟที่ทำออกมามีรสชาติดีถึงเพียงนี้ ซึ่งคุณโอ๊คเองได้กล่าวอย่างมั่นใจว่านอกจากฝีมือและเทคนิคในการชงแล้วสิ่งสำคัญอยู่ที่การเลือกเมล็ดกาแฟให้ถูกต้องกับรสชาติ สอดคล้องกับปากคนไทย โดยคุณโอ๊คใช้เมล็ดกาแฟของ 94 Coffee เป็นหลัก สรุปว่าวันนี้หมดไป 95 บาทกับที่นี่แต่ก็ได้ความรู้สึกที่ดีๆกลับมาทดแทน

       ดังนั้นคุณผู้อ่านทุกท่านครับไม่ว่าเราจะนับถือศาสนาอะไร ชาติพันธุ์อะไร ขอให้จดจำไว้ว่าเราทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมโลกด้วยกันและอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติทั้งสิ้น ส่วนใครที่มาชิมกาแฟที่ร้าน Om Coffee แล้วอยากจะเลยไปไหว้ศาลพระศิวะที่อยู่ใกล้ๆ ต่อ แต่ไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับองค์เทพ ขนบธรรมเนียมหรือการไหว้องค์ท่านก็ไม่เป็นไร เพราะคุณโอ๊คนั้นยินดีที่จะตอบคำถามเหล่านี้ด้วยความเต็มใจอยู่แล้ว ขอเพียงให้พวกเราที่ไปพกใจที่พร้อมจะเปิดรับไปเท่านั้น ที่เหลือมัีนจะเป็นไปตามวิถีของมันเองครับ

"เชื่อผมเถอะครับว่ากาแฟไม่มีแบ่งแยกศาสนา"


                                                                                                              กาลาโต้
วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554 | By: กาลาโต้

Cupping Street : อบอวลด้วยอบอุ่นที่ 92000 cafE



       ผมเป็นคนที่เชื่อในเรื่ององค์ประกอบแวดล้อมและเชื่อว่าองค์ประกอบเหล่านั้นจะเป็นตัวช่วยให้เราตัดสินได้ว่าสิ่งที่เรากำลังสัมผัสอยู่นั้นเป็นเช่นไร ซึ่งก็คงเหมือนกับคอกาแฟหลายๆ ท่่าน ที่นอกจากสนใจในรสชาติกาแฟแล้วยังสนใจในองค์ประกอบแวดล้อมอีกด้วย ถ้าบรรยากาศแวดล้อมดีก็จะช่วยส่งเสริมให้กาแฟที่รสชาติดีอยู่แล้วนั้นดียิ่งๆ ขึ้นไป แต่ในทางกลับกันหากสิ่งแวดล้อมไม่เหมาะสมก็อาจทำให้กาแฟแม้จะอร่อยแค่ไหนก็มีรสชาติกร่อยขึ้นมาทันตา เคยเจอไหมครับ ร้านกาแฟสดแต่เจ้าของร้านผัดกะเพราควันโขมงทั่วร้าน หรือร้านกาแฟแต่ขายส้มตำ ผมนี่แหละเคยเจอมาแล้วครับ อยากจะบอกว่าครั้งเดียวก็เกินพอ!


       สำหรับบรรดา coffee mania ทั้งหลายที่นิยมชมชอบที่จะดื่มด่ำกาแฟภายใต้บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น ผมขอแนะนำร้านกาแฟ 92000 cafE By Kwoung ครับ ซึ่งการตกแต่งภายในร้านให้ความรู้สึกเป็นกันเองเหมือนกับอยู่ที่บ้านของเราเลยทีเดียว


      เมื่อเข้าไปในร้านสิ่งแรกที่เราได้สัมผัสเห็๋นก็คือการตกแต่งร้านในสไตล์ที่ทำให้เราชวนคิดไปว่ากำลังอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้าน ด้วยว่ามุมกำแพงมีสิ่งของต่างๆ ประดับ อาทิหนังสือต่างๆ โทรทัศน์แบบเก่าๆ และที่สำคัญกล้องถ่ายรูปมากมายหลายแบบจึงทำให้พออนุมานเอาเองได้ว่าตัวเจ้าของเองอาจมีงานอดิเรกคือการถ่ายภาพ ถัดมาเป็นโต๊ะไม้นั่งยาวๆ และแต่ละมุมก็มีชุดโต๊ะ เก้าอี้วางอยู่ เหมือนกับว่าเป็นมุมส่วนตัวของคนที่มานั่งกินกาแฟ และส่วนที่นั่งมุมที่ติดถนนใหญ่นั้นครั้งหนึ่งเคยมีคอมพิวเตอร์มาตั้งให้คนที่มาดื่มกาแฟได้มานั่งเล่นเน็ตจิบกาแฟ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงทำให้ยกเลิกไปและกลายเป็นมุมนั่งเล่นเฉยๆ ในปัจจุบัน แต่เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะ build อารมณ์ให้เหมือนกับนั่งอยู่ห้องนั่งเล่นที่บ้านได้มากโขแล้ว


       สำหรับกาแฟของร้าน 92000 cafE ก็เหมือนกับร้านกาแฟทั่วๆ ไปคือมีสิ่งที่ทุกร้านกาแฟพึงมี นั่นก็คือกาแฟประเภทต่างๆ ชายุโรปและพวกช็อคโกแลตทั้งร้อนและเย็น ขายในราคาที่เหมาะสมคือแก้วเล็กอยู่ประมาณ 40 บาทขึ้นไป ส่วนแก้วใหญ่นี่ราคา 50 บาทขึ้นไปโดยประมาณ แต่มีข้อควรจำสักนิดสำหรับคอกาแฟมือใหม่ที่มาร้านนี้ เพราะการสั่ง "เอสเพรสโซเย็น" ตามความเคยชินนั้น อาจจะไม่ทำให้เราได้กาแฟตามที่ต้องการด้วยว่าร้านนี้เขามีมาตรฐานสากลในการชงกาแฟอยู่ เอสเพรสโซนั้นมีเพียงแค่แบบร้อนเท่านั้น ไม่มีเอสเพรสโซเย็น (อันที่จริงประเทศไหนๆ เค้าก็มีแต่เอสเพรสโซร้อนเท่านั้น มีแต่บ้านเรานี่แหละที่มีเอสเพรสโซเย็น!!!) ถ้าต้องการแบบเข้มข้นเหมือนเอสเพรสโซเย็นคงต้องสั่งรายการอื่นแทนเช่น คาปูชิโน หรือลาเต้


       ส่วนสำหรับผมนั้นกาแฟที่ดูจะเข้าเค้าและเหมาะกับผมมากที่สุดก็คือ "Long shot" ชื่อฟังครั้งแรกอาจคิดว่าเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่จริงๆ แล้วก็คือกาแฟเอสเพรสโซที่ผสมแบบ double shot เสริฟบนแก้วขนาด 22 ออนซ์ ตอนมาค่อนข้างประทับใจแต่เป็นที่น่าเสียดายว่ารสชาติอ่อนเข้มข้นไปนิด ถ้าพนักงานกดผงกาแฟแน่นกว่านี้สักหน่อยก็น่าจะได้รสชาติที่ดีขึ้น ซึ่งพนักงานนั้นก็หาใช่ใครไม่เป็นคุณ Kwoung เจ้าของร้านนั่นเอง อยากได้รสชาติแบบไหน อย่างไร บอกได้เลยครับ เพราะเขาทำตาม request อยู่แล้ว


       สรุปโดยรวมแล้วหากใครอยากทานกาแฟที่ราคาไม่สูงมาก มีที่นั่งส่วนตัวสบายๆ เหมือนอยู่ในบ้านของตัวเอง ร้าน 92000 cafE น่าจะเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ตอบโจทย์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ซึ่งร้านนี้หาง่ายครับ อยู่ปากซอยลาดพร้าว 34 เลย ไม่ต้องเข้าซอยไปให้เสียเวลา ลงรถเมล์มาเดินเข้าร้านได้ทันที หากใครที่อ่านแล้วสนใจก็อยากให้ลองมากันสักครั้ง แล้วคุณจะพบว่าความอบอวลที่แสนจะอบอุ่นนั้นบางทีก็อยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกล จากเราเท่าไหร่นักครับ

                                                                                                               กาลาโต้